ประกันชีวิต เป็นประกันแรกๆ ที่หลายคนเลือกทำ เพราะในทุกๆครอบครัว มักมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าบ้าน ค่ารถ ค่าเทอมลูก และอีกสารพัดค่าใช้จ่ายที่เราเจอ แล้วถ้าหากหัวหน้าครอบครัวที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เกิดเสียชีวิต หรือเป็นอะไรขึ้นมากระทันหัน การมีประกันชีวิต จะสามารถช่วยซัพพอร์ทค่าใช้จ่ายตรงนั้นได้
แต่เพื่อนๆรู้ไหมว่า ประกันชีวิตนั้น ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มีแยกย่อยถึง 6 แบบ ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งประกันชีวิตทั้ง 6 แบบจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ประเภทที่ 1 ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment/Saving Insurance)
คือประกันชีวิตที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับบริหารเงินออม
ซึ่งเราสามารถเลือกระยะชำระเบี้ยประกันได้ว่าจะชำระแบบสั้น กลาง หรือยาว
โดยมีให้เลือกชำระตั้งแต่ 3 ปี ไปจนถึง 30 ปี ถึงแม้ว่าเบี้ยของประกันประเภทนี้
จะค่อนข้างมีมูลค่าที่สูง แต่ก็คุ้ม เพราะได้ทั้งการคุ้มครองชีวิต
และช่วยเสริมสร้างวินัยการออมเงินให้แก่ผู้ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
แถมยังมีเงินคือให้แน่นอนเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่นอีก
โดยรูปแบบของเงินคืนมีทั้งในลักษณะของคืนทีเดียวเป็น
หรือจะเลือกรับเป็นรายงวดก็ได้แล้วแต่ความสะดวกของผู้ทำประกัน
เหมาะกับใคร ?
คนที่เน้นเรื่องความคุ้มค่า(เงินคืน)มากกว่าความคุ้มครอง
คำนิยามประกัน
“เบี้ยสูง สร้างวินัยการออม การันตีเงินคืน”
ประเภทที่ 2 ประกันชีวิตแบบบํานาญ (Annuity Insurance)
คือประกันที่มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารการเงินไว้ใช้ยามเกษียณ
ซึ่งผู้ทำประกันชีวิตแบบบำนาญจะยังคงได้รับคุ้มครองชีวิตเช่นเดิม
และจะมีเพิ่มในส่วนของเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ
สำหรับเบี้ยประกันที่ต้องชำระก็จะสูงเหมือนกับประกันแบบสะสมทรัพย์
และรูปแบบการชำระเบี้ยประกันของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีอยู่ 2 ลักษณะ
คือชำระเบี้ยครั้งเดียวจบ เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งได้รับเงินมรดกมา
หรือมีเงินก้อนใหญ่แต่ไม่รู้จะเอาไปลงทุนที่ไหน ที่เหลือก็แค่นั่งสบายๆ ชิลๆ
รอรับเงินบำนาญตอนเกษียณได้เลย
หรือถ้าใครสะดวกชำระเป็นรายงวดเรื่อยๆจนถึงอายุเกษียณ
หรือเลือกชำระตามแบบที่ประกันกำหนดก็สามารถทำได้เช่นกัน
การจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ทำประกัน บริษัทจะจ่ายคืนเป็นงวดให้ทุกๆ ปี
(บางแบบประกันก็จะมีการจ่ายเงินคือเป็นรายเดือน)
โดยเริ่มจ่ายคืนตั้งแต่อายุ 50 ปี 55 ปี หรือ 60 ปี ไปจนถึงเราอายุ 85 ปี
หรือ 90 ปี ซึ่งระยะเวลาการจ่ายคืนนั้นก็ขึ้นอยู่กับแบบประกันที่เราเลือก
เหมาะกับใคร?
คนที่ต้องการวางแผนเกษียณแบบเน้นเงินคืนที่แน่นอน
คำนิยามประกัน
“เบี้ยสูง ช่วยวางแผนเกษียณ การันตีเงินคืน”
ประเภทที่ 3 ประกันแบบระยะยาว (Whole life)
คือเราสามารถต้องชำระเบี้ยประกันไปซักระยะหนึ่ง อาทิเช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี เป็นต้น
แต่จะได้รับความคุ้มครองชีวิตแบบตลอดชีพ พูดง่ายๆ ก็คือ ชำระเบี้ยเพียงชั่วเวลาหนึ่ง
แต่ได้รับความคุ้มครองตลอดชีพ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกัน)
สำหรับเบี้ยประกันนั้นก็ไม่ได้สูงมากจนจับต้องไม่ได้
และหากผู้เอาประกันเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์ยังคุ้มครองอยู่
ทางบริษัทประกันก็จะจ่ายเงินเอาประกันให้กับผู้รับประโยชน์เพื่อนำไปใช้เป็นมรดก
หรือนำไปใช้ชำระหนี้สินต่างๆ
เหมาะกับใคร?
คนที่มีงบประมาณขึ้นมานิดนึง มองหาประกันชีวิตที่เน้นความคุ้มครองในระยะยาว
คำนิยามประกัน
“เบี้ยจับต้องได้ คุ้มครองยาว”
ประเภทที่ 4 ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance)
คือประกันชีวิตที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด อาทิเช่น 1 ปี 5ปี 10ปี 20 ปี
หรือคุ้มครองจนกว่าผู้เอาประกันจะอายุครบตามที่สัญญากำหนด เช่น คุ้มครองจนถึงอายุ 55 ปี เป็นต้น
การชำระเบี้ยประกันสามารถเราเลือกจ่ายแบบครั้งเดียวจบ หรือจ่ายเป็นรายปีเท่ากับระยะเวลาคุ้มครองได้
เช่นกรมธรรม์คุ้มครอง 5 ปี เราก็ชำระเบี้ยประกัน 5 ปี ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเบี้ยประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
มีราคาที่ถูกกว่าเบี้ยประกันชีวิตประเภทอื่นๆ แต่ว่าประกันแบบชั่วระยะเวลานั้นจะไม่มีเงินคืนให้กับผู้เอาประกัน
เมื่อครบระยะสัญญาคุ้มครอง พูดง่ายๆ ก็คือเป็นแบบจ่ายทิ้งปีต่อปี ยกเว้นในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต
ระหว่างที่ประกันยังคุ้มครองอยู่ บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินเอาประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์เพื่อเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้น
เหมาะกับใคร?
คนที่ต้องการเน้นสร้างความคุ้มครอง และมีงบไม่มาก
คำนิยามประกัน
“เบี้ยไม่แพง คุ้มครองสั้น”
ประเภทที่ 5 ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Investment linked life insurance)
ประกันชีวิตอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตและเพิ่มโอกาส
ในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งสูงกว่าแบบประกันชีวิตทั่วไป
โดยประกันชีวิตแบบควบการลงทุนสามารถเป็น 2 แบบได้ ดังนี้
5.1แบบยูนิตลิงค์ (Unit Linked)
แบบประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองชีวิต และสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวม
ที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
5.2แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)
แบบประกันชีวิตที่แยกส่วนความคุ้มครองชีวิต และส่วนการลงทุนอย่างชัดเจน
โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น้อยกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำที่บริษัทได้รับรองไว้
เหมาะกับใคร? คนที่ต้องการสร้างความคุ้มครองชีวิต ไปพร้อมกับการลงทุนในกองทุนรวม
คำนิยามประกัน “สร้างความมั่งคั่ง พร้อมความคุ้มครอง”
ประเภทที่ 6 ประกันชีวิตแบบผู้สูงอายุ
ประกันชีวิตที่ให้คุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและโรคภัยไข้เจ็บ
ให้กับบุคคลที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ
และไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า
ประกันชีวิตประเภทอื่นๆ มักไม่ค่อยรับประกันผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นประกันชีวิตแบบผู้สูงอายุ
จึงตอบโจทย์บรรดาปู่ ย่า ตา ยาย อย่างแน่นอน
เงื่อนไขความคุ้มครอง
1.จ่ายเฉพาะกรณีเสียชีวิตเท่านั้น (กรณีพิการหรือเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล จะไม่สามารถเบิกค่ารักษาได้ ยกเว้นแต่ซื้อสัญญาเพิ่มเติมพ่วงท้ายไว้ด้วย)
2.ถ้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุภายในช่วง 2 ปีแรก บริษัทประกันจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มจำนวน พร้อมเบี้ยประกันที่ชำระแล้ว บวกด้วยผลตอบแทนเพิ่มเติม
3.ถ้าเสียชีวิตตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป บริษัทประกันจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มจำนวนในทุกกรณี ไม่ว่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือจากโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม
เหมาะกับใคร? ผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ และต้องการสร้างมรดกไว้ให้ลูกหลาน
คำนิยามประกัน “สร้างมรดกให้ลูกหลานได้ตั้งตัว”
สรุป
บอกเลยว่าประกันทั้ง 6 ประเภทคือดีมากจริงๆ แต่หลักการซื้อประกันชีวิตที่ดีนอกจากการทำความประเภทประกันแล้ว เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของประกันชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน ก่อนตัดสินใจทำประกันชีวิตทุกครั้ง คิดให้ดี คิดให้ลึก ศึกษาให้มั่นใจ และเลือกที่เหมาะสมกับตัวเรา ก่อนจ่ายเงินนะครับ
ถ้าเพื่อนๆสนใจการทำประกัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย >> คลิก