ไม่มีรายการ

รีไฟแนนซ์ คืออะไร?

รีไฟแนนซ์ คืออะไร?

24 มิถุนายน 2563


รีไฟแนนซ์ คืออะไร? ทำไมเป็นเรื่องที่คนผ่อนทุกคนต้องรู้ !!!

 

เชื่อว่า...."บ้าน" ยังคงเป็นความฝัน เป็นเป้าหมายสำหรับคนทำงานหลายๆคน แต่จะให้มานั่งเก็บเงินซื้อบ้านเงินสดก็คงไม่ไหว ซึ่งตัวช่วยสำหรับคนอยากมีบ้าน นั่นคือ การใช้สินเชื่อบ้านจากธนาคาร โดยธนาคารก็จะให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษๆ ถูกๆ กับเราช่วง 3-5ปีแรก เพื่อดึงดูดให้ไปขอสินเชื่อด้วย

 

หลังจากนั่น ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนเป็นรูปแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งถ้าเราดูเฉพาะตัวเลขดอกเบี้ยที่เพิ่ม อาจจะเพิ่มประมาณ 2 - 3% ก็ดูไม่เยอะ แต่การผ่อนบ้านยอดเงินกู้เยอะและเราผ่อนกันแบบยาวๆ 20 - 30ปี การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เราต้องจ่ายเงินเพิ่มฟรีๆเป็นล้าน

 

สิ่งที่จะเข้ามาช่วยให้คนผ่อนบ้านไม่ต้องเสียดอกแบบฟรีๆ คือ การ " รีไฟแนนซ์ "

 

ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังมีแผนอยากซื้อบ้านสักหลัง หรือแม้แต่กำลังผ่อนอยู่แต่ไม่เคย รีไฟแนนซ์เลยสักครั้ง ลองไปทำความเข้าใจกันหน่อยว่า รีไฟแนนซ์ คืออะไร? ทำไมเป็นเรื่องที่คนผ่อนทุกคนต้องรู้ !!! ก่อนอื่นไปทำความเข้าใจกันก่อนว่า รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร? การรีไฟแนนซ์บ้านคือการที่เราขอกู้เงินกับธนาคารใหม่ เพื่อนำเงินมาปิดภาระหนี้ธนาคารเดิม 

 

แล้วทำไมถึงต้องรีไฟแนนซ์บ้าน ?

มาทบทวนกันอีกครั้งดีกว่าว่าทำไมผู้ที่ผ่อนบ้านอยู่ต้อง "รีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน" ???

 

 

1.เพื่อลดภาระดอกเบี้ย 

เหตุผลข้อแรกที่ต้อง "รีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน" ก็เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยจ่ายลดลง ไม่งั้นจะทำไปทำไมเนอะ ^^ เพราะโดยปกติเวลาที่เรากู้ซื้อบ้าน จะได้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่นช่วง 3 ปีแรกเสมอ ซึ่งเมื่อช่วงเวลาดังกล่าวจบลง ธนาคารจะปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยการอิงกับอัตราดอกเบี้ยแบบ MRR - เท่าไหร่ก็ว่ากันตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ที่สำคัญอัตราดอกเบี้ย MRR จะเปลี่ยนแปลงไปตลอด ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารที่เราไปกู้ 

 

ยกตัวอย่างเช่นเรามีหนี้บ้าน 2 ล้านบาท 

ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 = 2.90%  ปีที่ 2 = 3.95%  ปีที่ 3 = 4.85% หลังจากนั้นคิด MRR - 2.35% ซึ่งช่วง 3 ปีแรก ดอกเบี้ยจะเป็นแบบคงที่ (2.90%, 3.95% และ 4.85%) ไม่ว่าดอกเบี้ยในตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไร ธนาคารก็คิดดอกเบี้ยกับเราในอัตรานั้น แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 จะคิดที่ MRR - 2.35% ซึ่งมันคือการคิดดอกแบบลอยตัว และเราไม่สามารถควบคุมอัตรา MRR ของธนาคารได้เลย แต่ที่แน่ ๆ จ่ายมากกว่าเดิมชัวร์ ดังนั้นต้อง "รีไฟแนนซ์" เพื่อรับโปรโมชั่น 3 ปีแรกใหม่อีกรอบ กับธนาคารใหม่

 

2.เพื่อปรับความเหมาะสมในการผ่อนชำระ 

เมื่อเรา "รีไฟแนนซ์บ้าน" กับธนาคารใหม่ ก็จะได้เงื่อนไขในการผ่อนชำระใหม่เช่นกัน และจะนับ 1 ใหม่ เช่น เดิมผ่อนมาแล้ว 5 ปี หลังจาก "รีไฟแนนซ์" เราก็สามารถตกลงขอผ่อนในระยะเวลา 20 - 30 ปี อีกรอบได้ (ขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้) ซึ่งจะยืดหยุ่นและเลือกให้เหมาะสมกับรายได้ในช่วงนั้น ๆ เพื่อความคล่องตัวในการใช้จ่าย

 

ข้อนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องผ่อนชำระสินเชื่ออื่นๆ เพิ่มจากเดิม หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายอื่นๆ มากขึ้น ที่สำคัญสามารถนำเงินที่เหลือไปเก็บออมเพื่อความมั่นคงในระยะยาว และสามารถนำไปลงทุนต่อได้ เพราะต่อให้มีหนี้ ก็ควรเก็บออมและแบ่งลงทุนเสมอ

 

3.มีโอกาสได้เงินสดจากส่วนต่าง 

ปกติราคาของอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปมักจะมีราคาสูงขึ้นทุกปี ซึ่งหากในระยะเวลา 3 - 5 ปีราคาประเมินของบ้านสูงขึ้น ธนาคารมีโอกาสจะให้วงเงินมากกว่าที่ขอสินเชื่อในครั้งแรกได้ หรือ เมื่อเวลาผ่านไปรายได้ของเรามากขึ้น ธนาคารก็จะประเมินว่าเรามีศักยภาพในการกู้มากขึ้น การ "รีไฟแนนซ์" ช่วยให้คุณมีเงินส่วนต่างจากวงเงินกู้ 

 

เช่น เหลือยอดผ่อนเดิม 1,300,000 บาท แต่ได้วงเงินสินเชื่อใหม่ถึง 1,800,000 บาท เป็นต้น ซึ่งจะมีส่วนต่างสามารถนำไปใช้อย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้ เช่น ต่อเติมบ้าน, ทุนการศึกษา หรือ นำไปต่อยอดลงทุน

 

4.ปิดหนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น 

อย่างที่บอกว่าการ "รีไฟแนนซ์" ทำให้ได้ข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่าเดิม อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า ยอดผ่อนต่อเดือนที่อาจจะลดลง และหากมีเงินเหลือหรือมีเงินเพิ่ม การ "โปะ" หนี้ในช่วงนี้จะลดต้นลดดอกได้ไวมาก และจะทำให้ปิดหนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น 

 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราควรใส่ใจกับการ "รีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน" เสมอ และสามารถทำได้ตลอดเมื่อครบสัญญา ใครที่ผ่อนบ้านใกล้จะครบ 3 ปี หรือผ่อนบ้านครบ 3 ปี แล้ว ควรที่จะวางแผน "รีไฟแนนซ์บ้าน" ด้วยการหาข้อมูลดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละธนาคารได้เลย 

 

หากต้องการผู้ช่วย Lumpsum ยินดีให้บริการครับ ที่สำคัญสามารถยื่นขอสินเชื่อกับเราได้เลย สนใจรับข้อเสนอก่อนใครเพียงคลิกที่นี่

บทความแนะนำล่าสุด


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ