อ่านให้จบนะเรื่องนี้
สำคัญมาก !!!
พยามเขียนให้กระชับที่สุดละ
จะได้ไม่เบื่อ...
เพราะอยากให้อ่านจริง ๆ
สำคัญจริง ๆ
อ่านเถอนะ ขอล่ะ...
จริง ๆ นะ ...
ยัง
ยัง
ยังไม่เข้าเรื่องอีก !
พวกโปรโมชั่นผ่อน 0% เนี่ย
มองด้วยตา ซื้อด้วยใจ
ยังไงเราก็คุ้มเนอะ...ว่าแมะ ?
รับของไปเลย เดือนหน้าค่อยเริ่มผ่อน
ที่สำคัญ ไม่มีดอกเบี้ย !!!
สุดแสนประเสริฐเลิศสะแมนแตน
แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามันมี "กับดัก" ซ่อนอยู่
หรือไม่ได้อยากรู้ อยากได้ของมากกว่า
หรือก็รู้แหล่ะ แต่แล้วไงอะ มีปัญญาผ่อน
หรือ...สมมติผมรู้ว่าคุณรู้
แต่ผมก็อยากรู้ว่าคุณจะรู้เหมือนที่ผมรู้ไหม
เฮ้ย ! จะ “รู้” อะไรนักหนา เล่ามาได้แล้ว
(เนี่ย...ผมรู้ว่าคุณคิดแบบนี้ ฮ่า ๆ จะได้ “รู้” มากไง มีตั้งหลายคำ)
ทำความเข้าใจก่อนว่าโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ใครได้อะไรบ้าง
1. ร้านค้า
คนนี้ได้ขายของ
ได้ขายของแพงด้วย
เพราะถ้าของถูกก็ไม่จำเป็นต้องผ่อน
2. ผู้ซื้อ
คนนี้ได้ของแน่ ๆ ล่ะ
ได้ของแพงด้วย
ได้อวด ได้ภูมิใจ ได้สิ่งที่ต้องการ
จำเป็นไหมอีกเรื่องหนึ่ง !
3. ผู้ให้บริการบัตรเครดิต
คนนี้เหมือนไม่ได้อะไรเลยเนอะ
ดอกเบี้ยก็ไม่ได้
แถมรับความเสี่ยงหนี้เสียอีก
อาจจะได้ "ลูกค้า" เพิ่มมั้ง
หรือได้ยอดการใช้จ่ายหมุนเวียน
หรือใจดี อยากให้คนได้ของที่ต้องการ
หรืออาจจะไม่ใช่เลยสักอย่างข้างต้น
เพราะนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด !
ความเป็นจริงผู้ได้ประโยชน์สูงสุดที่แท้จจริงคือ...
ผู้ให้บริการบัตรเครดิต นั่นแหล่ะครับท่าน
งงดิ ? ลองอ่านดูนะ...
ที่จริงกลไกของระบบการผ่อน 0% มันเป็นแบบนี้
1. ผู้ให้บริการบัตรเครดิตตกลงกับร้านค้า
"จัดโปรแบบนี้ไหม จูงใจลูกค้า และกระตุ้นยอดขายได้ดีเลยนะ"
"ของแพง ต้องจัดโปรผ่อน 0% เพิ่มโอกาสและความง่ายในการซื้อ"
"แต่คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับเรานะ"
นี่คือสิ่งที่บัตรเครดิตจะได้ในสเต็ปแรก
ผมก็เพิ่งรู้เว้ย...ว่าร้านค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมธุรกรรมนี้ให้บัตรเครดิต
มันก็เหมือนเป็นดอกเบี้ยรับของบัตรเครดิตนั่นแล...
เท่าที่สอบถามบรรดาร้านค้าที่รู้จัก
บัตรเครดิตจะคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 1-3% ของราคาสินค้า
สังเกตได้บางร้านมีผ่อน 0% นะ แต่คิดค่ารูดบัตร 2-3% อันนั้นแหล่ะท่าน
แต่เราไม่ได้ใส่ใจไง เพราะอยากได้ของจนมองข้ามมันไป
ดูเหมือนบัตรเครดิตได้อะไรไม่มากนะ
ถ้าเทียบกับดอกเบี้ยการผ่อนแบบมีดอกเบี้ยปกติ
แต่อันนี้บัตรเครดิตจะได้เป็นรายชิ้นนะยะ ไม่ใช่รายปี
ยิ่งขายได้มาก บัตรเครดิตก็ได้มาก
ก็แค่แบกความเสี่ยงนิดหน่อย แต่มันมีออปชั่น (เดี๋ยวเล่า)
2. ร้านค้ายังได้ขายของเหมือนเดิมแหล่ะ
แต่เขาคิดราคาบวกค่าธรรมเนียมนี้ไปตั้งแต่ต้นทางการตั้งราคาแล้ว
อาจจะดูว่า "ลดราคา" แต่ก็ลดจากกำไรอยู่ดีแหล่ะ
ลองสังเกตดูนะ สินค้าบางรายการ ซื้อเงินสดจะถูกกว่า
โดยเฉพาะในออนไลน์ 2 เจ้าดังน่ะ ลองไปเช็คดูได้เลย
เกือบทุกอันที่ผ่อน 0% ได้ ราคาจะแพงกว่าเสมอ
(ช่วงโควิด-19 นี่ผมเข้าวงการช้อปออนไลน์
ซื้อไปหลายรายการละ แต่ละอย่าง 5,000 บาท +++
มีให้ผ่อนด้วยนะ แต่ทุกอันที่ผ่อนแพงกว่าทั้งหมด
เลยตัดใจจ่ายสด งดเชื่อ เบื่อโดนทวง)
หรือตามห้างสินค้าบางรายการหากซื้อสดจะมีส่วนลดเพิ่มหรือมีของแถม
ให้ดูเหมือนว่าจ่ายสดแล้วดีกว่า
จริง ๆ คือร้านค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมไง
อาจจะมีสินค้าบางรายการที่ราคาเท่ากันทั้งสดและผ่อน
แต่ราคานั้นบวกค่าธรรมเนียมไปแล้วนะ...
เพื่อที่จะได้เอามาถัวเฉลี่ยต้นทุนกับสินค้าที่ผ่อน 0%
3. คนซื้อก็ยังได้ของเหมือนเดิม
แต่ก็ได้หนี้มาเป็นภาระในมือนะยะ
จะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ยัน 3 ปีอะคิดดู
แม้จะไม่มีดอกเบี้ย แต่...
4. หากคุณผิดนัดชำระวันใดขึ้นมา
จากดอกเบี้ย 0% จะเข้าระบบดอกเบี้ยปกติทันที
และรู้กันอยู่แล้วว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตมันโหดแค่ไหน
18% ต่อปี แบบ 2 เด้ง !!!
แถมเจอค่าติดตามทวงถามอีก
ความโลกสวยดอกเบี้ย 0% ของท่านจะหายไป...
นี่ไงที่บอกไว้ข้างต้น
แม้ผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะได้ค่าธรรมเนียมไม่มาก
แถมมีความเสี่ยงหนี้เสียอีก
แต่เขาได้เปิด "กับดัก" รองับไว้แล้ว
ผิดนัดเมื่อไหร่ จ่ายกันบานแน่
สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดในระยะยาว
คือ "ผู้ให้บริการบัตรเครดิต" ได้หลายเด้งหลายต่อ
ผู้ที่มีความเสี่ยงที่สุดคือ "พวกเราคนซื้อ" นั่นแล
ดังนั้นขอแนะนำว่า...
หากไม่มีเงินสดสำรองครอบคลุมราคาสินค้า
อย่าผ่อนเลย จะ 0% จะ 100% ก็เถอะ
เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
หากช็อตขึ้นมาจะเอาที่ไหนมาจ่าย
เดี๋ยวก็พังกันหมด !
หรือจำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้นจริง ๆ ต่อการงานและการดำรงชีวิต
ไม่ใช่ "ของมันต้องมี" อะไรแบบนี้นะ
ต้องแน่ใจว่าภาระผ่อนนั้น ๆ เมื่อรวมหนี้ทั้งหมดที่มี ไม่เกิน 40% ของรายได้
และไม่ควรผ่อน 0% หลายชิ้นในเวลาเดียวกัน
แม้จะไม่มีดอกเบี้ย แต่มีค่างวด พอรวมกันหลายยอด มันจะกระทบสภาพคล่องได้
สุดท้ายจำไว้ว่า การผ่อน 0% เป็น "หนี้" แค่ไม่มีดอกเบี้ย
มันมีภาระผูกพันและเงื่อนไขรวมทั้ง "กับดัก" ที่รอเล่นงานเราอยู่
โอเค...หากคุณมีเงินสดพร้อมซื้อ
การผ่อน 0% เป็นทางเลือกการสำรองเงินก้อนไว้
แต่ต้องมีจริง ๆ นะ อย่ามโนว่าเดือนหน้าก็มี
เพราะมันคือการ "หลอกตัวเอง"
หลอกใครก็หลอกได้ แต่อย่าหลอกตัวเอง
ให้ดูคุณ "โจโฉ" เป็นตัวอย่าง
"ยอมทรยศคนทั้งแผ่นดิน แต่ไม่ให้ใครมาทรยศตัวเอง"
(เกี่ยวแมะ...เกี่ยวแหล่ะ...เกี่ยวมั้ง...เกี่ยวเถิดนะแม่เกี่ยว)
สุดท้ายก็ยาวเหมือนเดิม แต่รักนะอยากให้อ่าน ^^
ชอบกด Like ใช่กด Share อยากดูแลก็ Inbox มาน้าาาาา...
/////////////////////////
หากคุณต้องการรวมหนี้ เพื่อแก้หนี้
สามารถยื่นสมัครสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อการแก้หนี้ได้ที่นี่ >> สมัคร คลิก