ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB (TMB Analytics) ได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยว่ากลุ่มคน GEN Y ที่มีอายุระหว่าง 23 - 38 ปี จำนวน 7.2 ล้านราย กำลังตกอยู่ในสภาวะหนี้ท่วมหัว เฉลี่ยภาระหนี้ต่อหัว 423,000 บาท ที่สำคัญ 1.4 ล้านราย หรือ 20% เป็นหนี้เสีย คิดเป็น 7.1% ของสินเชื่อทั้งหมดที่ผิดนัดชำระ
กลุ่มคน GEN Y ขาดวินัยด้านวางแผนการเงิน ใช้ชีวิตด้วยมโนคติอยากมั่นคง อยากมีบ้าน มีรถ และเงินออม แต่ความเป็นจริงกลับมีพฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ที่มาพร้อมด้วยสโลแกน "ของมันต้องมี" ทำให้ในแต่ละปี
กลุ่ม GEN Y ใช้จ่ายเงินรวม 1.37 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP เทียบเท่ามูลค่าการลงทุนใน EEC ระยะ 5 ปี หรือ 8 เท่าของโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมันชวนให้เห็นภาพว่า “แก่ก่อนรวย” ที่ว่าน่ากลัวอยู่แล้ว ยังพ่วงมาด้วย “หนี้ตอนแก่” ที่มันน่ากลัวมากกว่าอีกด้วยซ้ำ
หากคุณเป็น GEN Y ที่เข้าข่ายใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้เงินเกินตัว ด้วยสโลแกน "ของมันต้องมี" ดึงสติตอนนี้ยังไม่สาย เปลี่ยนพฤติกรรมการเงินแบบผิด ๆ เพื่อปลดหนี้ก่อนเข้าสู่วัยเกษียณ ด้วย 3 แนวทาง ที่ไม่ยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
1. หยุดก่อหนี้เพิ่ม และจัดทำงบการเงินส่วนบุคคล
แนวทางแรกนี้สำคัญที่สุด ต้องหยุดก่อหนี้เพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หนี้ที่ไม่นำไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย ไม่ว่าจะเป็นรูดบัตรเครดิตช้อปปิ้ง เที่ยวพักผ่อนหย่อนแบบกินหรูอยู่แพงเกินตัว สังสรรค์ปาร์ตี้ทุกวัน หรือทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หยุด และอีกมากมาย
ทำได้เพื่อผ่อนคลายจากความเครียด แต่ควรทำแบบพอประมาณ จะดีกว่าว่ามั้ย?
อย่าคิดว่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จ่ายไป หลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ ยอด มันสะสมเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้เช่นกัน
เมื่อหยุดก่อหนี้ (ไร้ประโยชน์) เพิ่มได้แล้ว ต้องทำงบการเงินส่วนบุคคล รวบรวมข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินที่มีอยู่ เพื่อให้บริหารจัดการได้ง่าย
“งบการเงินส่วนบุคคล” คือ การสรุปสถานะทางการเงินของเราว่าเป็นอย่างไร
มีหนี้มากกว่าทรัพย์สินมั้ย
มีรายจ่ายไม่จำเป็นเยอะรึเปล่า
มีรอยรั่วอะไรบ้างที่ทำให้เงินไหลออกไปแบบไม่รู้ตัว
งบการเงินส่วนบุคคลนั้น มี 2 ส่วนได้แก่
1. งบดุลส่วนบุคคล (Personal Balance Sheet)
เป็นงบที่บอกเราว่า ณ ตอนนี้เรามีทรัพย์สินหรือหนี้สินมากกว่ากัน เปรียบเทียบได้กับงบดุลของบริษัทโดยทั่วไปที่คุ้นเคยกันดีว่า
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ (ทุน)
แต่ถ้าเป็นงบดุลส่วนบุคคล ส่วนของเจ้าคือ “ความมั่งคั่ง”
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ความมั่งคั่ง


ตัวอย่าง งบดุลส่วนบุคคล
2. งบกระแสเงินสดส่วนบุคคล (Personal Cash Flow Statement)
เป็นงบที่บอกรายละเอียด รายรับ-รายจ่ายของแต่ละเดือน และทั้งปีว่าสถานะการเงินดีหรือแย่ บางคนอาจจะเหลือจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร หรือบางคนติดลบสะสมตั้งแต่ต้นปี ซึ่งมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
งบกระแสเงินสดส่วนบุคคล เป็นรายงานสรุปรายได้และค่าใช้จ่ายของบุคคลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา เช่น 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 1 ปี งบนี้จะสะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราอย่างอย่างชัดเจน จึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญมากในการปรับปรุงพฤติกรรมทางการเงินและการวางแผนการใช้จ่ายสำหรับอนาคต

เราสามารถคำนวณเงินขาด เงินเกิน แต่ละงวดได้ดังนี้
รายได้ – ค่าใช้จ่าย = เงินเกิน (Cash Surplus) กรณีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย
รายได้ – ค่าใช้จ่าย = เงินขาด (Cash Deficit) กรณีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย

ตัวอย่าง งบกระแสเงินสดส่วนบุคคล
2. วางแผนการเงินเพื่อปลดหนี้ให้เร็วที่สุด
รีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
หลายคนที่ผ่อนบ้านไปแล้ว 3-5 ปี จะเริ่มเข้าสู่ช่วงหมดโปรโมชั่น หรือดอกเบี้ยพิเศษที่แบงก์นำมาเสนอให้ หลังจากนั้นก็จะต้องแบกรับภาระกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่แพงขึ้น ทำให้หลายคนเริ่มที่จะต้องแสวงหาสถาบันการเงินแห่งใหม่ เพื่อมารีไฟแนนซ์บ้าน หรือการขอกู้จากที่ใหม่ไปจ่ายหนี้ก้อนเดิม เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระถูกลง และได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าที่จ่ายอยู่ในปัจจุบัน
แต่การรีไฟแนนซ์ก็มีค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจว่าภาวะดอกเบี้ยที่ลดลงนั้น คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์หรือไม่
ถ้าไม่คุ้ม ก็ไม่ควรรีไฟแนนซ์ แต่เรายังสามารถต่อรองกับเจ้าหนี้เดิม (แบงก์เดิม) ขอลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งปกติแบงก์มักจะให้ หากเราเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยเบี้ยวหนี้
หารายได้เพิ่มจากอาชีพเสริมและการลงทุน
รายได้เสริมจากการขายของออนไลน์ หรือรับงานเพิ่มตามสายงานที่ตนเองถนัด ซึ่งมีอยู่มากมาย ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน
แต่ถ้าไม่ถนัด หรือไม่มีเวลาที่จะหารายได้เพิ่มจากอาชีพเสริม “การลงทุน” ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่หลายคนมองข้ามไป ด้วยข้อจำเรื่อง “กลัวขาดทุน”
การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง หากเราเลือกลงทุนได้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เงินย่อมงอกเงยจากการลงทุนอย่างแน่นอน
มีการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่อยากจะแนะนำ คือ “กองทุนรวม”
กองทุนรวมเป็นการระดมทุน เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อตามนโยบายที่กำหนดไว้ เมื่อได้ผลตอบแทนก็นำมาแบ่งกันตามสัดส่วนที่แต่ละคนลงทุนไปภายใต้การดูแลของ "ผู้จัดการกองทุน" ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง ผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) คือมืออาชีพที่เข้ามาดูแลเงินให้กับเหล่านักลงทุน เพื่อแลกกับค่าธรรมเนียมในการดูแล
เงินที่ได้จากการระดมทุนนำไปลงทุนต่อในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งเป็นที่มาของความเสี่ยงและผลตอบแทน ที่มักจะคุ้นหูหันดี “High risk high return”
3. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
เพื่อหาทางลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะได้มีเงินออมไปชำระหนี้เพิ่ม
การจดรายรับรายจ่าย ทำให้เรารู้ชัดเจนว่า
- เงินหายไปกับสิ่งใดมากที่สุด
- เรามีเงินเหลือต่อเดือนเท่าไร
- เราจะลดอะไรได้บ้าง
เมื่อเรารู้ว่าเงินหมดไปกับอะไรมากที่สุด มันจะช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งนั้นพอจะลดหรือคุมให้ใช้จ่ายน้อยลงได้มั้ย ถ้าไม่จด เราก็จะไม่รู้ว่าใน 1 เดือน เงินหมดไปกับอะไรบ้าง
ความสำคัญของการจดบันทึก มันช่วยให้เราเห็นตัวเลขต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่มโน คิดไปเองว่าสิ่งที่จ่ายไปนิดหน่อยเอง แค่หลักสิบ หลักร้อย เพราะถ้าจ่ายสะสมไปเรื่อย ๆ มันก็ถึงหลักพันหรือหลักหมื่นได้
“ทำบัญชีแล้วมาดู สยองมาก ค่ากาแฟแต่ละเดือน ผ่อนคอนโดเล็ก ๆ ได้เลย มากกว่าค่ากินอยู่แต่ละเดือนอีก”
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราคิดว่าเล็กน้อยในแต่ละวัน รู้แล้วว่าบันทึกรับจ่ายมันดี แต่ทำไมคนส่วนใหญ่กลับไม่ทำ เพราะมันเป็นเรื่องจุกจิก
ในแต่ละวันแค่เดินทางไปทำงาน ฝ่ารถติด โหนรถเมล์ รถไฟฟ้า ดมน้ำเน่าคลองแสนแสบก็เหนื่อยเกินทนแล้ว จะให้มาจดอะไรหยิก ๆ อีกเหรอ ไม่เอาหรอก
สารพัดข้ออ้าง มันก็เหมือนคนที่อยากผอม เดี๋ยวก่อนค่อยลด ค่อยออกกำลังกาย แต่ในมือถือชาไข่มุก ดูดแก้มตุ่ย แล้วจะผอมเหรอแม่คุณ
เช่นกัน อยากมีเงินเก็บ อย่างมั่งคั่ง แค่จดบันทึกรับจ่ายยังไม่ทำ แล้วจะรู้ภาพรวม สถานะการเงินได้อย่างไร ว่าในแต่ละเดือนหมดไปกับอะไรบ้าง
เมื่อรู้แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น สามารถนำเงินนั้นไปเก็บออม ลงทุนเพิ่ม หรือจ่ายหนี้ก็ได้
“วางแผนปลดหนี้ให้เร็ว จะได้ใช้ชีวิตยามเกษียณอย่างมีความสุข”
ดาวน์โหลดแอปฯ Lumpsum ฟรี ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
iOS
Android