ไม่มีรายการ

เมื่อชีวิตเด็กสปอยล์ อย่างฉันก้าวสู่วัย 30+

เมื่อชีวิตเด็กสปอยล์ อย่างฉันก้าวสู่วัย 30+

11 กรกฎาคม 2562


"อย่ามาสปอยล์" คำนี้มักผ่านหู ผ่านตากันอยู่บ่อยๆ ยิ่งช่วงไหนมีหนังดัง ละครเวทีดังๆ คนก็กลัวว่า หนังเรื่องนี้จะเสียคุณค่า จะหมดอรรถรส


จริงๆ แล้ว สปอยล์ มันใช้กับ “คน” ก็ได้


ฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกที่บ้าน “สปอยล์” พูดง่ายๆ ว่า “พ่อกับแม่เอาใจ” แต่ฉันไม่ถึงขั้นสุด มันคงจะมีการ สปอยล์ หลายระดับ


ที่พูดนี่ไม่ได้ว่าโคตรพ่อโคตรแม่รวย แต่อย่างใดนะ เพราะสปอยล์นี่ มันไม่เกี่ยวกับบ้านจน บ้านรวย
มันเกิดได้หมดแหละ จากความรักของพ่อกับแม่ ที่มีให้ลูกๆ

 

และสถานการณ์ที่จะเล่านี้คือ ที่บ้านฉันมีฐานะ (จน)

 

พ่อแม่ฉันเลี้ยงแบบเอาใจ หาให้ไม่ได้ก็คงแค่ดาวกับเดือน ฉันทะเยอทะยาน อยากได้อะไร เหมือนเด็กบ้านพ่อรวยเขามีกัน แม้ไม่มีเงินทอง แม่กับพ่อจะหามาให้ฉันได้ เท่าที่สามารถ

 

ทำให้เมื่อโตมา...ฉันยังติดเป็นลูกแหง่ ชอบเรียกร้องจากคนอื่นก่อนเสมอ ไม่กล้าตัดสินใจ จะทำอะไรอารมณ์มาก่อนเหตุผล เพราะฉันเอาแต่ใจ


ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับให้ทำงาน เขาลุยหาเงินส่งฉันเรียน ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า...แม้ที่บ้าน “ทำไร่ทำนา” แต่ฉันทำนาไม่เป็น เมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันแถวบ้าน ส่วนใหญ่ทำเป็นและเก่งด้วย


กินข้าวเสร็จ ไม่เก็บ ไม่ล้าง ตื่นนอนเสร็จ เรียกแม่มาพับที่นอน กับข้าวทำไม่เป็น รอกินอย่างเดียว จะใช้งาน เจอสวน “แม่นะแหละ” จะมีว่าบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ “โนสน-โนแคร์” แม่ก็ทำดิค้าบบบบ


ทุกวันนี้ชีวิต เด็กสปอยล์อย่างฉัน เป็นยังไง?

ก็เป็นผู้หญิง “วัยกลางคน” คนหนึ่ง ที่ยังอยู่ในคอมฟอร์ตโซน อายุ 30+ หน้าตาดี แต่…หนี้เยอะนะ

 

เทียวถามตัวเองอยู่เรื่อยว่า “แก่ไปนี่เงินจะพอใช้ไหมนะ”?!! ถ้ามีลูก ลูกฉันจะเอาคืนไหมนะ ทำกับพ่อแม่ไว้ขนาดนี้

 

ฉันหายังชีพ ด้วยความรู้ของเมื่อ “ทศวรรษ” ที่แล้ว และความรู้นั้นกำลังจะหมดอายุ เพราะถูก Disrupt จากเทคโนโลยี ถ้าฉันไม่ปรับ ฉันก็จะตายไปพร้อมกับความรู้เก่าๆ ชุดนั้นแหละ

มีดีอยู่อย่าง เด็กสปอยล์อย่างฉัน “กลัวตาย”

 

"แต่ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้งายยยย" และยังตายไม่ด้ายยย… เพราะฉันอยากไถ่บาป ดูแลพ่อแม่ของฉันกลับคืนเสียก่อน


มากไปกว่า “การปรับตัว” เพื่อความอยู่รอดของฉันแล้ว ฉันยังได้เริ่ม “ตรวจสุขภาพทางการเงิน” อย่างจริงจัง  เพราะลำพังฉันยังดูแลตัวเองไม่รอด..แล้วจะเหลือถึงที่บ้านไหมเนี่ย


กว่าฉันจะคิดได้ ก็เมื่อวัยเข้าเลข 3 แล้ว (ถ้าฉันคิดได้เร็วกว่านั้นล่ะ?)  ฉันเริ่มตรวจสุขภาพการเงิน นั่งบวกลบเลข ฉันทำงานมากี่ปี? เข้าๆ ออกๆ ที่ทำงานมากี่รอบ มีหนี้สินเท่าไหร่ มีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง

เพียบเลยจ้ะ พี่จ๋าาา...โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ตุ๊กตา กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องสำอางและ จิปาถะ ขยะทั้งนั้น!


สินทรัพย์ทั้งตัวมีแหวนทอง 1 วง หนักครึ่งสลึงติดนิ้วมือ! เจริญพร


สมองสั่งการทันที เอาล่ะวะ..ก่อนตายและกว่าจะตาย ขอหาสินทรัพย์เข้าพอร์ต บ้างเถอะน่ะ! 

 

ฉันเริ่มมีสินทรัพย์ก้อนใหญ่สุด คือ คอนโดราคาล้านต้นๆ ในวัย 30 ต้นๆ ตามด้วยเก็บออมทองคำทุกเดือน และเก็บออมในหุ้นทุกเดือน 

 

ซื้อประกันชีวิตไว้ หากฉันตายไปอย่างน้อย “แม่” ก็พอจะมีค่าทำศพให้ฉัน

 

ถ้าเกิดจะใช้เยอะกว่า 300,000 อันนั้นก็คงจะงานรื่นเริงแล้วล่ะ


ส่วนหนี้คอนโดที่เหลือ คนข้างหลังไม่ต้องรับผิดชอบ...ประกันจ่ายให้

 

ประกันสุขภาพ ก็ใช้ของที่ออฟฟิส และจากประกันสังคม


ทุกๆ สิ้นเดือนธนาคาร จะตัดเงินเดือนฉันโอนเข้าบัญชีแม่จะได้ไปซื้อหมากซื้อพลู
มาเคี้ยว (เพราะเงินที่ให้ มันไม่ได้เยอะมากไง)


นับถอยหลังไปจากนี้ ฉันเองหรือแม้กระทั่งผู้อ่าน ก็จะมุ่งหน้าสู่หลัก 4 โดยบริบูรณ์

 

“สำหรับฉันแล้ว ยังคงก้มหน้าก้มตาขายเวลา 8 ชม.ต่อวัน จะมากกว่านั้นคือบวก 2 ชม.ไปกลับ เงินเดือนเหลือเท่าไหร่ ก็ใช้เท่านั้น เพราะที่เหลือใช้ในบัญชี คือ เงินที่ถูกตัดไปลงทุนแล้ว ออมแล้ว ให้แม่แล้ว”

 

เพราะฉันเองไม่รู้ว่า...จะตกงานเมื่อไหร่!

 

แล้วชีวิตเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง… ยังเผลอ สปอยล์ ตามใจตัวเองอยู่มั๊ย ถ้าใครได้ดี มีสุข ชีวิตไปไกลแล้ว ฉันยินดีด้วยจากใจจริง ที่คุณได้วางแผนทางการเงิน และมีเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่เนิ่นๆ

แน่นอนว่า “เงิน” ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่แทบจะทุกอย่าง ซื้อได้ด้วยเงิน
ฉันเชื่อว่า ใครคิดเป็นก่อน ออมก่อน ลงมือทำก่อน รวยก่อนนะ

#น.ส.ลาเวนเดอร์2019

--------------------------------
ดาวน์โหลดติดตั้งแอปฯ Lumpsum ได้แล้วที่นี่
iOS
Android

บทความแนะนำล่าสุด


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ