Latte Effect ความสุขเล็กๆ ที่อาจทำเงินหายหลักหมื่น

ใครจะคิดว่า...แค่กาแฟแก้วเดียวก็เปลี่ยนอนาคตได้ㅤㅤเคยมีแฟนเพจท่านหนึ่งมาแชร์ว่า"ทุกวันนี้ไม่ได้ซื้อกาแฟทุกวันแล้ว เพราะรู้จักกับ Latte Effect"แอดฟังแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ เพราะนี่เป็นตัวอย่างของเทคนิคเล็กๆ ที่เราอาจจะนึกไม่ถึงแต่ช่วยประหยัดเงินได้เยอะ เลยอยากหยิบเรื่องนี้มาแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ได้ลองคิดตามกันครับ Latte Effect คืออะไร? คือแนวคิดการเงินที่บอกว่า “รายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราซื้อเป็นประจำทุกวัน แม้ดูไม่เยอะ แต่รวมกันแล้วกลายเป็นเงินก้อนโตได้” ซึ่งเรามักจะมองข้ามมันไป เพราะคิดว่าไม่เป็นไร แค่วันละนิดเดียวเองㅤㅤ ยกตัวตัวอย่างให้เห็นกันชัด ๆเช่น กาแฟแก้วละ 70 บาทซื้อทุกวัน (เดือนละ 30 วัน) = 2,100 บาท/เดือนปีนึง = 25,200 บาท!ㅤㅤถ้าเราลองลดบางวันหรือจ่ายในราคาที่ถูกลง และลองนำเงินก้อนนี้ไปออม ไปลงทุนอย่างมีวินัย ในเวลาแค่ 4 ปี อาจกลายเป็นเงินหลักแสนได้ไม่ยากเลยครับ จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ห้ามซื้อ”แต่คือการรู้เท่าทัน ค่าใช้จ่ายเล็กๆ ที่เราอาจจะซื้อนู้นนิด จ่ายนี่หน่อย รวมกันแล้วอาจจะเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่สูงถึง 20-30% ของรายได้ใครหลายๆคน ㅤㅤㅤㅤ เทคนิคง่าย ๆ รับมือกับ Latte Effect 1. จำกัดจำนวนแก้วต่อสัปดาห์ จากที่เคยซื้อทุกวัน ลองลดเหลือสัปดาห์ละ 2–3 แก้ว ยังได้ดื่มเหมือนเดิม แต่จ่ายน้อยลง ㅤ 2.ใช้สูตร งด 1 แก้ว = ออม 1 ครั้ง ไม่ซื้อ = โอนเข้าบัญชีออมทันที เดือนนึงอาจกลายเป็นเงินเก็บก้อนเล็ก ๆ ที่คุณไม่รู้ตัว 3. สลับไปดื่มร้านราคาย่อมเยาลงบ้าง จากร้านประจำแก้วละ 70 ลองสลับไปร้านที่ราคาเบาลง แค่เปลี่ยนบางวัน ก็เซฟได้ครึ่งหนึ่งแล้วㅤㅤ การวางแผนการเงิน ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเรื่องใหญ่เสมอไป บางครั้งแค่กาแฟแก้วเดียวที่เราคิดก่อนซื้อ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะการเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยในวันนี้ อาจพาไปสู่ความมั่นคงในวันข้างหน้าก็ได้ครับ

  Lumpsum .


  18 กรกฎาคม 2568

เงินออม กับ เงินลงทุน ต่างกันอย่างไร? แยกให้ถูกก่อนวางแผน

เชื่อว่าหลายๆคนที่เก็บออมเงิน เราอาจจะมองเงินเก็บทั้งหมดนี้เป็นก้อนเดียวกัน ซึ่งพอถึงจุดที่เก็บได้จำนวนหนึ่งเราก็มักจะเริ่มมองหาช่องทางต่อยอด เพื่อให้เงินเก็บก้อนนี้ เติบโต และสามารถชนะเงินเฟ้อได้ !!!⠀แต่จริงๆแล้ว เงินออมและเงินลงทุน ที่ดูเหมือนกัน อาจจะมีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งต่างยังไง ไปดูกันครับ !!! เงินออม คือ - จำนวนเงินที่เราตัดออกมาเก็บออมจากรายได้ - เป็นเงินที่มีสภาพคล่องสูง หยิบจับออกมาใช้ได้ทันที - จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการเก็บออมที่เพิ่มขึ้น ⠀ซึ่งในการ วางแผนการเงินส่วนบุคคล “เงินออม” ส่วนนี้เราเรียกว่า สินทรัพย์สภาพคล่องหรือที่เราคุ้นชินกันก็คือ เงินสำรองฉุกเฉิน จุดสำคัญในการเลือกที่เก็บเงินก้อนนี้ คือ ถอนได้ง่าย มีความผันผวนต่ำ ไม่เน้นผลตอบแทนสูง แต่มีใช้ชัวร์ๆ เมื่อจำเป็นซึ่งจะแตกต่างกันกับ “เงินลงทุน” เงินลงทุน คือ - จำนวนเงินที่จะมาจากการเก็บออมหรือจากการกู้ยืมก็ได้ - เป็นจำนวนเงินที่สภาพคล่อง ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ลงทุน เช่น ทำธุรกิจ ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง สภาพคล่องก็จะต่ำ - จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น เน้นเกิดขึ้นจากผลกำไร ดอกเบี้ย หรือผลตอบแทน ซึ่งผลตอบแทนเยอะเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และความเสี่ยงในการลงทุน ⠀โดยเป้าหมายสำคัญของเงินลงทุน คือ เน้นการเติบโต สร้างกำไรหรือผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ส่วนผลตอบแทนจะมาก น้อย เท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาการใช้เงิน สินทรัพย์ลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองและเป้าหมายการลงทุนเป็นสำคัญ⠀และเงินลงทุน เราจะเอาออกเมื่อถึงเป้าหมายเท่านั้น ก็เท่ากับว่า ถ้าเราตั้งใจเก็บเงินก้อนนี้ไว้เกษียณ และมองกันยาวๆ 20ปี ถ้าตอนนี้ตลาดผันผวนเกิดติดลบ(แต่สินทรัพย์ ธุรกิจ นั้นยังดีในระยาว) เราก็จะเดินหน้าต่อ เพื่อเป้าหมายเกษียณ และแน่นอนว่า สินทรัพย์นั้นอาจจะมีสภาพคล่องทางการเงินต่ำ⠀ จะจัดการอย่างไรให้เหมาะกับเรา? เน้นเป้าหมาย สบายระยะยาว ความเสี่ยงทางการเงินต่ำ เช่น งานค่อนข้างมั่นคง รายจ่ายไม่ผันผวนมาก อยากเก็บเงินเกษียณไวๆ อยากเก็บเงินทำธุรกิจ ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ แบบนี้เราอาจจะเก็บเงินออมสภาพคล่องและเงินลงทุนควบคู่กันไป⠀ เน้นปลอดภัย ความเสี่ยงทางการเงินสูง เช่น เป็นฟรีแลนซ์ ตำแหน่งงานทดแทนได้ง่าย รายจ่ายผันผวน ช่วงเวลานี้ อาจจะเหมาะที่จะเริ่มเก็บเงินออมที่เป็นเงินสภาพคล่องก่อน เพราะอย่างน้อยหากเกิดปัญหา มีเรื่องต้องใช้เงินระยะสั้น ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า มีเงินพอใช้ ไม่เสี่ยงที่จะเข้าสู่วัฏจักรหนี้ตามมา⠀ซึ่งการแยกเงินออมและเงินลงทุนอาจจะเป็นจุดเล็กๆที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเงินสองก้อนนี้ไม่แตกต่างกัน แต่เราเชื่อว่า การแบ่งเงินให้ตรงวัตถุประสงค์ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนจัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ถือเงินออมที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในจำนวนที่มากเกินไปรวมถึงเงินที่เก็บทั้งหมดไม่อยู่ในจุดที่เสี่ยงเกินไป

  เทส ธนสิทธิ์


  17 กรกฎาคม 2568

5 พลังมหัศจรรย์ เพิ่มพลังการออม พร้อมเกษียณ

1.พลังความพยายามและมีวินัย การออมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องออมเงินติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เราต้องมีทั้งความพยายามและวินัย เน้นมองไปที่จุดหมายของเรา เราทำสิ่งนี้เราออมเงินก็เพื่ออนาคตของเราในช่วงบั้นปลายชีวิต ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในตอนนี้ ช่วงท้ายของชีวิตเราจะง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ㅤ 2.พลังระยะเวลา หลายคนมักพลาดในข้อนี้ไป เพราะคิดว่าการเกษียณเป็นเรื่องของคนที่กำลังจะใกล้เกษียณเท่านั้น จนมารู้ตัวอีกทีก็ใกล้เกษียณแล้วจริงๆ จะมาเก็บเงินเกษียณตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว การวางแผนเรื่องการเกษียณจึงเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานเลย เพราะจะทำให้เราไม่เหนื่อยที่จะต้องเก็บเงิน และมีเวลาเยอะให้เราได้เตรียมตัว แถมถ้าเรานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เงินที่เราเก็บออมก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปตามกาลเวลาด้วย 3.พลังของผลตอบแทน พลังผลตอบแทนจะเป็นส่วนช่วยสำคัญให้เรามีออมมากพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ เราลองมาเปรียบกันดูนะครับ สมมุตินาย.ก ออมเงินแบบใส่โหลเก็บไว้ ทุกๆเดือน เดือนละ 10,000 บาท เวลา 20 ปี นาย.ก จะมีเงินทั้งหมด 2,400,000 บาท กับ นาย.ข ที่เอาเงิน 10,000 ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน 8% ต่อปี เป็นระยะเวลา 20 ปี เท่ากัน นาย.ข จะมีเงินถึง 5 ล้าน 9 แสนบาท หรือเกือบ 6 ล้านเลย เยอะกว่า นาย.ก หลายเท่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนต้องศึกษาเรื่องการลงทุนㅤㅤ 4.พลังเป้าหมาย เป้าหมายและความฝันเป็นพลังเพิ่มการออมเงินชั้นดี ยิ่งถ้าหากเราวางเป้าหมายไว้ยิ่งใหญ่ จะยิ่งช่วยเพิ่มพลังให้เรามีแรงผลักดันในการออมเงินมากขึ้น เพราะเราจะยิ่งอยากไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการวางแผนเกษียณ เชื่อว่าทุกคนคงอยากมีชีวิตเกษียณที่สุขสบาย ฉะนั้นเราจึงควรนำเป้าหมายที่เพื่อเพิ่มพลังการออมให้ชีวิตสุขสบายในอนาคต ㅤㅤแอดขอแนะนำสำหรับใครที่ต้องการอยากจะสร้างเป้าหมายการเงินให้กับตัวเอง จากแอป Lumpsum ที่สามารถตั้งเป้าหมายทางการเงินให้กับตัวเองได้ง่ายๆ แถมยังคอยเตือนเราด้วยว่า เหลือเวลาอีกกี่วัน และเหลือเงินที่ต้องออมอีกเท่าไหร่ 5.พลังเก็บเล็กผสมน้อย เน้นเก็บออมทีละนิด ขอแค่เราเริ่มวางแผนไว ยังไงก็มีเวลาให้เราออมเงิน ใครที่เป็นพนักงานประจำก็ใช้ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่จะเป็นช่วยในการออมเงินให้กับตัวเราเอง ㅤㅤถ้าเราทำนู่นทำนี่ ทั้งลงทุน ทั้งเก็บออม และมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก ยังไงชีวิตในช่วงบั้นปลายของเรา ต้องออกมาดีอย่างแน่นอนครับ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้

  Lumpsum .


  16 กรกฎาคม 2568

ทำไมการเก็บเงินก้อนแรกถึงยากที่สุด?

หลายๆคนอาจจะมีเป้าหมาย มีความฝัน อยากมีเงินเก็บ หนึ่งแสนแรก หนึ่งล้านแรกของชีวิต ซึ่งก็ดูเป็นตัวเลขที่อาจจะไม่ง่ายเลยและอาจจะใช้เวลา 5-10ปี สำหรับหลายคน ㅤㅤ แต่คุณเคยได้ยินไหม ? ว่าถ้าคุณเริ่มเก็บเงินก้อนแรกไม่ว่าจะ 100,000 /1,000,000 ได้ แสนต่อไป ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น มันใช่หรอ ? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ลองไปฟังไอเดีย จากประสบการณ์ของผมกัน ㅤㅤ เหตุผลเชิงนิสัย 1. ห้ามใจจาก Lifestyle Inflation เมื่อเรามีรายได้มากขึ้น เราก็มักอยากใช้มากขึ้น ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ เพราะใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นใช่ไหมละ ? ㅤㅤ ดังนั้น พอเงินในบัญชีมากขึ้น ก็มีโอกาสที่เราอยากจะยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นทันที ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่ถ้ามันเร็วเกินไป จนเราสะสมความมั่งคั่งไม่ได้เลย มันก็มีแต่ละทำให้เราตกอยู่ในวงจรการหาเงินแบบไม่รู้จบ ㅤㅤ ซึ่งไม่ง่ายเลยที่เราจะผ่านกับดักข้อนี้ แต่ถ้าภาพเป้าหมายที่ใหญ่กว่าของคุณชัดเจนจนอดทนไปถึงจำนวนเงินที่ตั้งใจได้ เราเชื่อว่า คุณแข็งแรงพอที่จะไปเป้าหมายเงินแสน เงินล้าน ต่อไปได้ง่ายแล้ว ㅤㅤ 2. มีวินัย ลงมือทำ ในวันที่ไม่อยากทำ ความมีวินัย ลงมือทำ แม้ในวันที่ไม่อยากทำ ผมว่าอีกสาเหตุสำคัญมากๆที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายการเงินได้ เพราะ วันที่คนส่วนใหญ่อยากลงมือทำมากที่สุด คือ วันพรุ่งนี้ !!! ㅤㅤ และถ้าคุณก้าวผ่านไปได้ ไม่ว่าจะอยากลองทำธุรกิจแล้วได้ลงมือทำ ได้คลุกอยู่กับธุรกิจนั้นจริงๆ หรืออยากลงทุนกองทุน หุ้น แล้วกล้าที่จะลองลงมือจริง ยอมสละเวลาสนุก เวลาพักผ่อน มาอ่านหนังสือ มาแกะงบ มาเรียนรู้เพิ่มเติม เราเชื่อว่ามันเป็นนิสัยสำคัญมากๆ มากกว่าตัวเงินแสนแรก ล้านแรกซะอีก เพราะนิสัยนี้มันจะติดตัวไป และจำนวนเงินก้อนต่อๆไปมีโอกาสไปถึงได้ไม่ยาก ㅤㅤ 3.แบกรับความไม่แน่นอนและไม่ถอดใจไปก่อน คุณอาจจะเคยได้ยินว่า ลองขายของสิได้กำไรดีนะ ลองลงทุนสิมันช่วยให้เงินออมของเราเติบโตได้นะ แต่หลายๆคนก็อาจเจอเหตุการณ์ เกิดคำถาม แบบเดียวกับผม คือ จะขายของออนไลน์ก็มีคนขายแล้ว ขายไปใครจะซื้อ จะลงทุนหุ้นราคาก็ขึ้นมาเยอะแล้วบ้าง ลงไปก็เดี๋ยวขาดทุนบ้าง อุปสรรคแรกสำคัญที่จะทำให้การเพิ่มรายได้ยากที่สุด คือ ความฟุ้งซ่านในหัวของเรานี่แหละ ㅤㅤ ซึ่งถ้าคุณต่อสู้กับความฟุ้งซ่านในหัวของตัวเอง จนลงมือทำได้ และเมื่อทำแล้วมันก็ไม่ใช่จะสำเร็จเสมอไป แต่คุณก็เรียนรู้ และกลับขึ้นมาใหม่ได้ จนไปถึงจำนวนเงินที่ตั้งใจ เราเชื่อว่าความกล้าจะพาคุณไปในขั้นต่อไปได้ไม่ยากเท่าวันเริ่มต้น ㅤㅤ ถ้าคุณผ่านการสร้างนิสัยเหล่านี้ไปได้ เงินแสนต่อไป ล้านต่อไป ก็มีโอกาสง่ายขึ้น !!! ㅤㅤ ㅤㅤ ทีนี้มาดูเหตุผลเชิงตัวเลขกันบ้าง "เงินต้นมากขึ้น ผลตอบแทนก็สูงขึ้น" เมื่อเรามีเงินต้น 10,000 บาท กำไร 10% เท่ากับ 1,000 บาท แต่ถ้าเงินต้น 100,000 บาท กำไร 10% จะได้ถึง 10,000 บาท จะเห็นว่าเมื่อเงินต้นสูงขึ้น แม้ผลตอบแทนจะเท่ากัน แต่ถ้าดูเฉพาะตัวเงิน เท่ากับได้เงินมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า !! ซึ่งตรงนี้แหละ จะช่วยให้การทบต้นไปถึง เป้าหมายต่อๆไปได้ง่าย *แต่ก็อย่าลืมเรื่องความเสี่ยงด้วย เพราะเงินต้นเยอะ เวลาโดนก็เจ็บเยอะเหมือนกัน ㅤㅤ ทั้งหมดนี้ น่าจะพอทำให้เห็นภาพได้ว่า เป้าหมายการเงินที่เราตั้งใจ ไม่ว่าจะ 1 แสนแรก 1 ล้านแรก ถือว่าเป็นหนึ่งจุดเริ่มต้นสำคัญ ทั้งในมุม นิสัย วินัย การตัดสินใจ รวมถึงพลังของผลตอบแทน ที่เมื่อเงินต้นมากขึ้น พลังของผลตอบแทนก็จะสูงขึ้น และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นต้นทุนที่เราสะสมจนเป็นพลังอยู่ในตัวเอง ที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายการเงิน อื่นๆได้ง่ายขึ้น

  Lumpsum .


  10 มิถุนายน 2568

10 บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงปี 2568 ประจำเดือน "มิถุนายน"

ปัจจุบันหลายคนก็หันมาใช้บัญชีเงินฝากดิจิทัลกันหมดแล้ว เพราะมีความสะดวกสบาย โอนง่าย จ่ายคล่อง และทำธุรกรรมเงินได้หลายรูปแบบ จบครบในมือถือเครื่องเดียว วันนี้ Lumpsum จึงพามาส่องกับ 10 บัญชีเงินฝากดิจิทัลที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย 1. B-You Wealth ดอกเบี้ยสูงสุด 5.55% จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : เฉพาะ 100,000 บาทสุดท้ายของแต่ละล้าน สูงสุด 4,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได* รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀⠀ 2. Dime ! Save ดอกเบี้ยสูงสุด : 3.00 % จ่ายดอกเบี้ย : มิถุนายนและธันวาคม เงื่อนไข : เฉพาะยอดเงินฝากไม่เกิน 10,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀⠀ 3. Chill-D ดอกเบี้ยสูงสุด : 2.60 % จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : เฉพาะเงินฝากส่วนที่เกิน 50,000 ถึง 100,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀⠀ 4. Kept ดอกเบี้ยสูงสุด : 2.00% จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : ยอดเงินฝากไม่เกิน 5,000,000 บาท และจะได้ดอกเบี้ยเมื่อฝากตั้งแต่เดือน 19 - 24 รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀⠀ 5. Alpha savings ดอกเบี้ยสูงสุด : 2.00 % จ่ายดอกเบี้ย : มิถุนายนและธันวาคม เงื่อนไข : สำหรับยอดเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀ 6. ttb Me Save ดอกเบี้ยสูงสุด : 2.00 % จ่ายดอกเบี้ย : มิถุนายนและธันวาคม เงื่อนไข : ยอดเงินฝากไม่เกิน 100,000 บาท และต้องมียอดเงินฝากมากกว่าถอนในแต่ละเดือน รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀ 7.KKP Savvy ดอกเบี้ยสูงสุด : 1.75 % จ่ายดอกเบี้ย : มิถุนายนและธันวาคม เงื่อนไข : ต้องมีเงินฝากมากกว่า 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀⠀ 8. TISCO e-Savings ดอกเบี้ยสูงสุด : 1.55 % จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : ยอดเงินฝากไม่เกิน 1,000,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀ 9. EZ Savings ธนาคารไทยพาณิชย์ ดอกเบี้ยสูงสุด : 1.50 % จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : ยอดเงินฝากไม่เกิน 2,000,000บาท รายละเอียดเพิ่มเติม ⠀ 10.กรุงศรี มีแต่ได้ ดอกเบี้ยสูงสุด : 1.50 % จ่ายดอกเบี้ย : ทุกเดือน เงื่อนไข : ยอดเงินฝากไม่เกิน 2,000,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม

  Lumpsum .


  09 มิถุนายน 2568

เงินสดสำรองฉุกเฉิน เก็บไว้ที่ไหนดี?

เชื่อว่าหลายๆคนที่เริ่มเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน อาจจะเกิดคำถามคล้ายๆกันว่าเก็บเงินสำรองฉุกเฉินไว้ไหนดี !!! ยิ่งใครเป็นนักลงทุนและมีความอินกับเรื่องผลตอบแทนอาจจะยิ่งลังเลหนัก ว่าเอาไงดี แต่ก่อนจะคิดเรื่องผลตอบแทน เรากลับไปย้ำ เป้าหมายหลัก ของเงินก้อนนี้ให้ชัดก่อน⠀เงินสำรองฉุกเฉิน คือเงินที่ใช้ "เฉพาะเวลาฉุกเฉิน" เท่านั้นซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ แต่ถ้าเกิดขึ้น เราต้องใช้เงินก้อนนี้ได้ “ทันที”ดังนั้น พื้นฐานสำคัญก่อนที่จะเลือกที่เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน คือ⠀ ที่เก็บเงินนั้นต้องปลอดภัย เงินต้นไม่หาย หลายคนอาจจะติดกับดักผลตอบแทนเหมือนผลในอดีต คือ คิดว่าเงินสำรองมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเอาไปเสี่ยงหน่อยก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่โอเค แต่อย่าลืมเมื่อเราเริ่มเสี่ยง มันจะมีได้กับเสีย เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินจริง เชื่อเถอะ เราไม่อยากได้ผลตอบแทนหรอก เราเพียงแค่อยากได้เงินต้นครบไปจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ต้องไปกู้ใคร ไม่ต้องไปจ่ายดอกเบี้ยบัตร 10-20% ก็ดีใจแล้ว⠀ เมื่อฉุกเฉินต้องหยิบถอนออกมาใช้ได้ทันที เพราะอีกหนึ่งเป้าหมายหลักของเงินก้อนนี้ คือเราอยากดูแลตัวเองไม่อยากเดือดร้อนใคร และเราก็ไม่รู้ด้วยสิว่าเมื่อไหร่มันจะฉุกเฉิน ดังนั้น อีกข้อสำคัญ คือ ถ้าถึงเวลาจำเป็นจะต้องใช้เงิน เราจะต้องสามารถเอาออกมาใช้ได้เลยทันที⠀ ทีนี้ลองไปดูกันว่า ตอนนี้มีที่ไหนน่าใช้เป็นแหล่งเก็บเงินสำรองฉุกเฉินกันบ้าง 1. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ อันนี้คลาสสิคสุดๆ คือ ฝากเงินออมทรัพย์แบบปกติ ดอกเบี้ยเล็กน้อย แต่ก็ฝากง่าย ถอนคล่องซึ่งถ้าจะเลือกเงินฝากประเภทนี้ แนะนำให้ลองดูรูปแบบบัญชีเงินฝากดิจิทัล อัตราดอกเบี้ยก็จะขยับขึ้นมาสูงกว่าดอกเบียเงินฝากทั่วไปอีกหน่อย⠀ 2. บัญชีฝากประจำ แหล่งเงินฝากอีกประเภทที่น่าสนใจ เพราะ ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แม้หลายคนจะเข้าใจว่าต้อง “ฝากให้ครบกำหนดเท่านั้นถึงจะคุ้ม” แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราถอนก่อนกำหนด ก็จะได้ดอกเบี้ยเท่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่เมื่อเราไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะฉุกเฉิน ถ้าเลือกระยะเวลาฝากไม่ยาวนานเกินไป ก็มีโอกาสถือครบกำหนดและได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์⠀ 3. กองทุนรวมตลาดเงิน หรือ Money Market Fund อีกหนึ่งแหล่งเก็บออมที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าชื่อเขาจะดูเป็นการลงทุนในกองทุน แต่กองทุนรวมตลาดเงินเป็นกองทุนที่นำเงินเราไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำมาก เช่น พันธบัตรรัฐบาล , ตั๋วเงินคลัง ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย ผันผวนต่ำ ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป⠀ 4. สลากออมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกสำหรับการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน เพราะเงินต้นยังปลอดภัย แม้ดอกเบี้ยไม่สูง แต่ก็มีโอกาสลุ้นรางวัลทุกเดือน*ข้อจำกัดที่ควรรู้⠀- ถอนก่อนครบกำหนด จะไม่ได้ดอกเบี้ย⠀- หากถือน้อยกว่า 3 เดือน บางธนาคารอาจหักเงินเป็นเบี้ยปรับดังนั้น ก็ควรชั่งน้ำหนักดูว่า “สิทธิ์ในการลุ้นรางวัล” คุ้มกับ “ข้อจำกัดด้านการถอนเงิน” แค่ไหนสำหรับเรา⠀ ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเก็บเงินสำรองทั้งหมดไว้ในที่เดียวก็ได้ ลองแบ่งตาม “ระยะเวลาที่คาดว่าจะต้องใช้” แบบนี้ดู 1 - 3 เดือนแรก: เก็บในบัญชีเงินฝากดิจิทัล ถอนได้ทันที ไม่มีข้อจำกัด4 - 6 เดือน: ฝากประจำ ได้ดอกเบี้ยดีกว่า แต่ถ้าถอนก่อนกำหนดก็แค่ได้ดอกเบี้ยน้อยลง6 - 12 เดือน: สามารถแบ่งเก็บในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือบางส่วนก็แบ่งไปเก็บในสลากออมทรัพย์ แม้ดอกเบี้ยน้อย แต่ได้ลุ้นรางวัล และเงินต้นส่วนใหญ่ยังถือว่าปลอดภัย⠀แบบนี้… ก็จะทำให้เรามีทั้งสภาพคล่อง ผลตอบแทน และ ความปลอดภัยพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

  เทส ธนสิทธิ์


  19 พฤษภาคม 2568

เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?

หลายคนคงเคยได้ยินกันว่า “เงินสำรองฉุกเฉิน” ควรมี 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่เอาเข้าจริง... ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความเสี่ยงในอาชีพ รายได้ หรือแม้แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่ก็แตกต่างกัน ดังนั้น จำนวนเงินสำรองที่เหมาะสม ของแต่คนก็อาจจะไม่เท่ากัน ลองมาดูกันว่า... ในสถานการณ์ของคุณตอนนี้ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไรดี ? ㅤㅤ 1. ดูแลตัวเอง ไม่มีภาระ งานหาง่าย ครอบครัวพอช่วยเหลือได้ ต้องยอมรับว่า หลายๆคนเดินทางคนเดียว ㅤㅤ- ไม่มีหนี้ ไม่มีภาระติดตัว ㅤㅤ- หางานใหม่ไม่ยาก ㅤㅤ- แถมครอบครัวพร้อมช่วยเวลาฉุกเฉิน ㅤㅤㅤㅤ เงินสำรองฉุกเฉินที่เราคุ้นๆกันที่ 3 - 6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือน ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการขยับตัวทั้งเรื่องงาน ค่าใช้จ่าย ในช่วงนี้ ขยับตัวได้ไว ไม่กดดันจนเกินไป ㅤㅤ ㅤㅤ 2.ดูแลตัวเอง มีภาระหนี้บ้าง งานหายาก อยากมีอิสระในการเลือก สำหรับข้อนี้ อาจจะขยับความจริงจังในการรับผิดชอบการเงินตัวเองแบบ 100% ㅤㅤ- ทำงานมาซักระยะ เริ่มมีหนี้ที่ต้องผ่อน ㅤㅤ- ตำแหน่งงานอาจไม่ใช่กลุ่มที่มีความต้องการสูง ㅤㅤ- อยากมีอิสระในการเลือก ㅤㅤㅤㅤ เงินสำรองฉุกเฉินก็จำเป็นต้องขยับขึ้นมาที่ 6 - 12 เดือน เพราะแม้คุณจะยังมีภาระหนี้รายเดือน แต่คุณก็ยังมีระยะเวลาหาเงิน หางานมากพอ มีทางเลือกที่จะเลือกงานใหม่ที่กำลังตัดสินใจ ซึ่งผมคิดว่า ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดี ที่ย้ายงานปุ๊บ เจอที่ที่ใช่เลย การเผื่อเงินสำรองเยอะไว้หน่อย ก็เป็นการสร้างอิสระในการเลือกให้เราได้เพิ่มขึ้น ㅤㅤ ㅤㅤ 3.มีคนต้องดูแลและมีภาระหนี้ สำหรับข้อนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว การตัดสินใจเร็วๆ ขยับตัวไวๆ อาจจะต้องคิดเยอะขึ้น ㅤㅤ- เผื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉินของคนอยู่ในการดูแล ㅤㅤ- เผื่อค่าใช้จ่ายจำเป็นแต่ไม่ได้มาประจำ ㅤㅤ เมื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉินไม่ได้มีแค่ตัวเรา ถ้าแบบปลอดภัยขยับตัวง่าย เงินสำรองฉุกเฉินอาจจะต้องเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายถึง 12 เดือน รวมถึงเริ่มคิดวางแผนสำหรับค่าใช้จ่ายที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้น 1-3 ปี จากนี้เพิ่มด้วย เช่น ค่าตรวจสุขภาพรายปี ค่าประกันสุขภาพพ่อแม่ ค่าเทอมลูก ซึ่งแน่นอนว่าเราคงไม่อยากให้รายจ่ายสำคัญแบบนี้ต้องเป็นรายจ่ายฉุกเฉินในอนาคต ㅤㅤ เงินสำรองฉุกเฉินอาจไม่ได้มีสูตรตายตัว จำนวนเงินตามทฤษฎีก็อาจพอสำหรับบางคน แต่สำหรับอีกหลายคนก็อาจจะเสี่ยงเกินไป เพราะบริบทชีวิต ภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ดังนั้น ลองประเมินจากชีวิตจริงของเราเอง หาเงินสำรองฉุกเฉินในจำนวนที่ดีและเงินจำนวนนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะช่วยให้เรากังวลน้อยลงและมีอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น

  เทส ธนสิทธิ์


  14 พฤษภาคม 2568

7 การประหยัดที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น

1.ซื้อในสิ่งที่จำเป็นไม่ใช่ "แค่อยาก" สิ่งแรกเราต้องแยกให้ออกก่อน ระหว่าง "จำเป็น" กับ "อยาก" จำเป็น คือสิ่งที่เราไม่มีแล้วจะทำให้ชีวิตเราลำบากขึ้นอยาก คือสิ่งที่ต่อให้เราไม่มีมัน เราก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ㅤㅤแยกให้ออกและซื้อแค่สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีพอ นอกจากจะประหยัดเงินแล้ว แถมบ้านเราก็จะไม่รกไปด้วยของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งานด้วยㅤㅤ 2. ถอดปลั๊กและเรียกคืนเวลาของเรา หลายคนสมัครบริการรายเดือนพวก Netflix หรือบริการต่างๆ ที่บางทีเราสมัครไปก็ไม่ได้ใช้งานมัน แถมยังดูดเวลาของเราไปอีก ยกเลิกบริการต่างๆ แล้วเอาเวลาในการใช้ชีวิตกับครอบครัวของเรากลับมาㅤㅤ 3.ทำกับข้าวทานเอง อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะ โดยเฉพาะใครที่กักตัวทำงานอยู่ที่บ้านถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองฝึกทำเมนูต่าง ๆ รับประทานเอง โดยของสดและวัตถุดิบสามารถเก็บไว้ทำได้หลายมื้อ กินได้หลายคน ได้ปริมาณเยอะกว่าการสั่งเดลิเวอรี่ที่นอกจากได้น้อย ราคาแพง แถมมีค่าส่งㅤㅤ 4.เลือกซื้อเฟอนิเจอร์ที่เรียบง่าย เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่พอดีกับบ้านไม่ใหญ่มากและเรียบง่าย นอกจากจะมีราคาที่ไม่แพงแล้ว ยังทำให้เราไม่ต้องทำความสะอาดเยอะด้วย มีพื้นที่ในบ้านเพิ่มมากขึ้นㅤㅤ 5.กำหนดการใช้เงินในแต่ละวัน การกำหนดการใช้เงินในแต่ละวันจะทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นมากๆ เพราะเราจะไม่ต้องมานั่งกังวลบวกลบคูณหารให้มันเยอะว่าเราใช้เงินไปเท่าไหร่แล้ว เปลี่ยนเป็นกำหนดเงินในแต่ละวันแทน เช่น ใช้ได้วันละ 200 บาท เราก็ใช้แค่นั้น หมดก็หมดไป แต่ไม่มีควักเพิ่มㅤㅤ 6.ตัดออมแบบอัตโนมัติทันทีหลังได้เงินเดือน ชีวิตเราจะง่ายขึ้นมาก ด้วยการตัดออมเงินแบบอัตโนมัติ โดยให้เรากำหนดไปเลยว่าจะตัดออมเท่าไหร่ในแต่เดือน โดยส่วนมากจะเริ่มออมกันที่ 20% ต่อเดือน ได้เงินเดือน 20,000 ก็ตัดออม 4,000 บาทนั่นเองㅤㅤ 7.งดบุหรี่-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งสุดท้ายคือสิ่งที่ทั้งผลาญเงินและทำลายสุขภาพเราด้วย ก็คือพวกบุหรี่และของมึนเมาเนี่ยแหละ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยในชีวิต ถ้าใครยังเลิกขาดไม่ได้ก็ให้ค่อยๆลดเอานะครับ แค่เราลดของพวกนี้ได้ครึ่งนึง เราก็มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ

  Lumpsum .


  13 พฤษภาคม 2568

ออมเงินอย่างเดียวก็ยังเสี่ยงอยู่ดี

แน่นอนว่าการออมเงินเป็นสิ่งที่ดี เป็นการเก็บออมเพื่อใช้ในอนาคต ถ้าใครยังไม่สามารถเก็บออมได้ ผมก็อยากให้ทุกคนสู้ แล้วค่อยๆเก็บไปนะครับ อาจจะเริ่มจาก 5% หรือ 10% ของรายได้ก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มเท่าที่เราไหวㅤㅤแต่วันนี้ผมจะมาพูดถึงความเสี่ยงของการออมเงิน ถ้าหากเราเอาแต่สนใจเรื่องการออมอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการออมในธนาคาร หรือใส่ตุ่มฝังดินเอาไว้ มันก็จะเกิดความเสี่ยงต่อเงินของเราอยู่ดีㅤㅤ ความเสี่ยงที่ต้องเจอมีอะไรบ้าง ไปดูกัน - เสี่ยงกับเงินเฟ้อ เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกปี หลีกหนีไม่ได้ เช่น เรามีเงินออมไว้อยู่ 1 ล้านบาท ซื้อที่ดินได้ 4 ไร่ 10 ปีผ่านไป เราอาจจะซื้อได้แค่เพียง 2 ไร่เท่านั้น เพราะมูลค่าของเงินเรามันลดลงㅤㅤ - เสี่ยงเงินหายหมด ถ้าเกิดเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หากเรานำเงินที่หามาเก็บออมอย่างเดียว และไม่สนใจทำประกันเอาไว้เลย หากเกิดเหตุขึ้นมา เงินที่เราหามาอาจจะหายวับไปกับตา เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลㅤㅤ แล้วจะเอาเงินที่ออมมาได้ เอาไปทำอะไรถึงจะดี ? 1.ลงทุนในสินทรัพย์ที่เรารู้และเข้าใจ อย่างน้อยก็เอาให้ชนะเงินเฟ้อ เพื่อให้มูลค่าของเงินไม่ลดลง2.นำเงินบางส่วนไปซื้อประกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเรา ทั้งประกันชีวิต ประกันรถยนต์ㅤㅤฝากไว้ให้กับทุกคนที่กำลังออมอย่างเดียวนะครับ เพราะไม่อยากให้ทุกคนพลาดเสียเงินให้กับเงินเฟ้อไปฟรีๆ ในแต่ละปีㅤㅤ

  Lumpsum .


  13 พฤษภาคม 2568

3 เทคนิคอุดรูรั่วทางการเงิน

วันนี้มี 3 เทคนิคอุดรูรั่วทางการเงิน เพื่อใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเหนื่อยมากมาฝาก เป็นวิธีง่ายๆ ที่แอดมินใช้ได้ผลกับตัวเอง เลยอยากเอามาแบ่งปันㅤㅤ 1.ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย อย่าสบประมาทหรือด้อยค่าวิธีง่ายๆ พื้นๆ แบบนี้เลยทีเดียวเชียว เพราะมันไม่มีหรอกเทคนิคที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นชั่วข้ามคืน มันมีแต่ตัวช่วยในการฝึกนิสัย ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของความสำเร็จㅤㅤในด้านการเงิน ไม่ว่าเป้าหมายของคุณ จะแค่ขอให้อยู่รอดเป็นวันๆ ไป หรือต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน แต่ยังไม่รู้จะไปทางไหน ขอให้เริ่มต้นด้วยการจดบันทึก ทำบัญชีรายรับรายจ่าย อาจจะไม่ต้องทำตลอดไป แต่ขอให้ลองทำซัก 3-6 เดือน ให้เห็นภาพการไหลเข้า-ออกของเงิน แล้วดูว่ารูรั่วของเราอยู่ตรงไหนㅤㅤบางคนพอรู้สึกเงินไม่พอใช้ ก็คิดแต่จะหารายได้เพิ่ม ซึ่งมันไม่ผิดหรอก แต่มันเหนื่อย ลองจินตนาการถึงถังใส่น้ำ ที่มีรูรั่วมากมาย แต่เราไม่สนใจ พยายามหาน้ำมาใส่เพิ่ม แต่หาเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มซักที เพราะมันออกไปทางรูรั่วหมดㅤㅤใครกำลังเป็นแบบนี้อยู่ ลองจดบันทึกดูเถอะ แล้วจะรู้ว่ามันทำให้เหนื่อยน้อยลงจริงๆ แค่เราลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง มันง่ายกว่าไปทำงานหาเงินเพิ่มตั้งเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าการหารายได้เพิ่มไม่ดีนะคะ แค่อยากให้อีกมุมมองนึงว่า ถ้าเราจะต้องเหนื่อยแล้ว ก็ควรรู้ว่าเงินที่ได้จากความเหนื่อยนั้น มันไปไหน ใช่สิ่งที่ชีวิตเราต้องการรึเปล่า การจดบันทึกจะทำให้เราเห็นชัดขึ้น ว่าใช้เงินไปกับอะไร ตรงไหนลดได้บ้างㅤㅤ 2.ทำบัญชีงบดุล หลักการของงบดุลก็คือ บันทึกสินทรัพย์ และหนี้สิน ว่าอะไรมีมากกว่ากัน ถ้ามีสินทรัพย์มากกว่า ก็เป็นบวก ถ้ามีหนี้สินมากกว่า ก็เป็นลบㅤㅤบัญชีนี้สำคัญ เพราะเป็นการบอกว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน คือบางคนรู้ว่าจะไปไหน มีเป้าหมายเยอะแยะ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน ในยุคนี้บอกเลยว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เพราะมี app เกี่ยวกับการทำบัญชีส่วนบุคคลมากมายให้เลือกใช้ รวมไปถึง app lumpsum ที่แอดมินใช้อยู่ ถ้าใครสนใจก็ลองโหลดมาใช้ได้เลย นอกจากใช้ฟรีแล้วก็ยังมีฟังก์ชั่นที่แอดมินชอบ คือการ link บัญชีรายรับรายจ่ายเข้ากับบัญชีงบดุล ทำให้เราเห็นตัวเลขตลอดเวลาว่าดุลบัญชีเราเป็นบวกหรือลบㅤ ดาวน์โหลด App Lumpsumios : https://bit.ly/3y7gJr7android : https://bit.ly/3nLrg6Vㅤ พอพูดเรื่องวางแผนการเงิน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงการเอาเงินไปลงทุน ซึ่งจริงๆ แล้วการลงทุนเป็น step เกือบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ทำให้มีเงินออมก่อน ให้กระแสเงินเข้ามากกว่าเงินออก ออมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย) ได้แล้ว ส่วนเกินจากนั้นถึงเอาไปลงทุน ให้เงินทำงานแทนเราㅤㅤแอดมินเคยทำข้ามขั้นตอน บอกเลยว่ามันทำให้แผนการลงทุนของเราไม่มั่นคง โดยเฉพาะเวลามีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ทำให้ต้องถอนเงินจากการลงทุนออกมา ในจังหวะที่ยังขาดทุนอยู่ เสียดายจริงๆ เพราะถ้าถือได้นานกว่านั้น จะได้กำไรเยอะเลยทีเดียวㅤㅤㅤㅤ 3.ทำจิตใจให้เบิกบาน เมื่อทำเหตุทุกอย่างให้ดี จะทำให้ความเครียดของเราลดลงอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนี้อยากให้ทุกคนทำใจให้เบิกบาน มีความสุขกับเงิน สำนึกรู้คุณ ขอบคุณเงินของเรา ที่เลี้ยงดูเรามาตลอดชีวิต และยังช่วยเลี้ยงดูคนอื่นเวลาที่เราใช้จ่าย ส่งต่อเงินออกไปด้วยㅤㅤหวังว่าทุกคนจะได้ไอเดียไปปรับใช้ให้ชีวิตการเงินดีขึ้น และเหนื่อยน้อยลงนะคะ

  Lumpsum .


  13 พฤษภาคม 2568

เปลี่ยนชีวิตการเงินให้ดีขึ้น ด้วยกฎ 80/20 เรียบง่ายแต่ได้ผล

ㅤㅤเคยได้ยินคำว่า "กฎ 80/20" หรือ "หลักการพาเรโต" กันมั้ย? มันคือหลักการที่บอกว่า 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น 80% ของยอดขายมาจากลูกค้า 20% หรือ 80% ของงานเสร็จมาจาก 20% ของเวลาที่เราใช้ ㅤㅤ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเงินของเรา? อาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เราสามารถเอากฎนี้มาปรับใช้กับการจัดการเงินได้เหมือนกัน ㅤㅤ โดยแบ่งเงินที่มาจากรายได้ออกเป็น 2 ส่วน 80% สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน กิน ช้อป เที่ยว จ่ายบิล สารพัดค่าใช้จ่าย 20% สำหรับเก็บออม ลงทุน เพื่ออนาคตของเรา ㅤㅤ ㅤ ทำไม 20% ถึงเปลี่ยนชีวิตได้? ฟังดูเหมือนน้อยใช่มั้ย? แต่เชื่อเถอะว่า 20% นี่แหละที่จะเปลี่ยนชีวิตทางการเงินของเราได้เลย ㅤㅤ 1. สร้างเงินเก็บ ค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ เงินก้อนนี้จะเป็นเหมือนตาข่ายรองรับเรายามฉุกเฉิน หรือเป็นทุนสำหรับทำตามความฝัน 2. ลงทุนให้งอกเงย เอาเงินไปลงทุนต่อยอด ปล่อยให้มันเติบโตไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคต 3. อิสระทางการเงิน เมื่อมีเงินเก็บ มีเงินลงทุนมากพอ เราก็จะมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ㅤㅤ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเอ่ยปากพูดได้เลยว่า “80% ของเก็บในวันนี้ มาจาก 20% ของเงินเก็บในวันนั้น แอดมินก็ใช้วิธีนีอยู่เช่นกัน ได้ผลดีเลยแหละ ㅤㅤ ㅤㅤ แล้ว 80% ล่ะ? ใช้ยังไงให้คุ้ม แน่นอนว่า 80% นี่คือส่วนที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เราไม่ได้บอกว่าให้ประหยัดจนไม่ใช้ชีวิตนะ แต่เราอยากให้ใช้จ่ายอย่างมีสติด้วยการ ㅤㅤ 1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย จดทุกบาททุกสตางค์ที่เข้าออก จะได้รู้ว่าเงินหายไปกับอะไรบ้าง 2. วางแผนการใช้จ่าย กำหนดงบประมาณในแต่ละเดือน จะได้ไม่ใช้จ่ายเกินตัว 3. ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ลองดูว่ามีอะไรที่เราตัดออกได้บ้าง เช่น ค่ากาแฟแพง ๆ ค่าช้อปปิ้งที่ไม่จำเป็น หากเหลือเงินจากการใช้จ่าย ก็สามารถนำไปรวมเข้ากับส่วน 20% ได้ เงินเก็บก็จะโตเร็วขึ้น ㅤㅤ แต่แอดมินเชื่อว่า เพื่อนๆ มีวิธีเจ๋งๆให้เอาตัวรอดด้วยเงิน 80% นี้ได้แน่นอน ㅤㅤ ㅤㅤ แล้วจะเริ่มยังไงดี? เอาเข้าจริงๆ ไม่ต้องรอให้มีเงินเดือนเยอะ ๆ หรอก เริ่มทำงานหรือมีรายได้เข้ามา ก็เริ่มต้นใช้กฎ 80/20 ได้เลย เรียบง่ายมากเพียงแค่ ㅤㅤ 1. ตั้งเป้าหมาย อยากมีเงินเก็บเท่าไหร่? อยากเกษียณตอนอายุเท่าไหร่? เขียนออกมาให้ชัดเจน 2. เปิดบัญชีเงินเก็บ แยกบัญชีสำหรับเก็บเงินโดยเฉพาะ จะได้ไม่เผลอแอบเอามาใช้ 3. หักเงินอัตโนมัติ การตั้งให้หักเงินเดือนเข้าบัญชีเงินเก็บอัตโนมัติทุกเดือน ทำแบบนี้รับรองเงินเก็บเพิ่มขึ้นแน่นอน 4. หาความรู้เรื่องการลงทุน เริ่มศึกษาเรื่องการลงทุน จะได้เอาเงินไปต่อยอดได้ ㅤㅤ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การเงินสำเร็จตามเป้าหมาย 1. ความสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญ ค่อย ๆ เก็บ ค่อย ๆ ออมไปเรื่อย ๆ อย่าท้อ 2. ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ชีวิตเรามีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ปรับแผนการเงินให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน 3. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ละคนมีสถานการณ์ทางการเงินไม่เหมือนกัน โฟกัสที่ตัวเองก็พอ ㅤㅤ สรุป ㅤㅤกฎ 80/20 ไม่ใช่แค่หลักการทางคณิตศาสตร์ แต่เป็นหลักการที่สามารถเปลี่ยนชีวิตทางการเงินของเราได้จริง ๆ ลองเอาไปปรับใช้ดู แล้ววันหนึ่งเราจะบอกกับลูกๆหลานๆเราว่า “80% ของเก็บในวันนี้ มาจาก 20% ของเงินเก็บในวันนั้น” และไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปตามสัดส่วนนี้ ในบางกรณี สัดส่วนอาจปรับเป็น 70/30 หรือ 90/10 ก็ได้ สิ่งสำคัญคือเป้าหมายชัดเจน และปรับสัดส่วนให้พอดีกับตัวเราเอง

  Lumpsum .


  22 เมษายน 2568

กองทุนรวมคืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนลงทุนจริง

สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นลงทุน "กองทุนรวม" เป็นคำที่ได้ยินบ่อย แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่ากองทนรวม คืออะไร และทำไมจึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมㅤㅤ⠀กองทุนรวมเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและได้รับโอกาสสร้างผลตอบแทนโดยไม่ต้องบริหารเงินลงทุนเอง รวมถึงกองทุนรวมบางประเภทยังได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอีกด้วยㅤㅤ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวม กองทุนรวม (Mutual Fund) คือการลงทุนแบบที่นักลงทุนหลายๆ คนร่วมกันนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) โดยมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ดูแลและบริหารจัดการเงินให้ การลงทุนในกองทุนรวม ทำให้มือใหม่ไม่ต้องกังวลเรื่องการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนด้วยตัวเอง แต่สามารถอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนช่วยวิเคราะห์แทนเราได้ㅤㅤ กองทุนรวมเหมาะกับใคร? - ผู้ที่ต้องการลงทุนแต่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลเชิงลึกของสินทรัพย์ด้วยตัวเอง- ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง- ผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวและให้เงินทำงานแทน รวมถึงการใช้สิทธิลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี- ผู้ที่ไม่มีเวลาในการบริหารจัดการพอร์ตด้วยตัวเอง ประเภทของกองทุนรวม กองทุนรวมมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้วผู้ที่จะลงทุนจะต้องทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อน ซึ่งสำคัญมากๆ เพื่อที่จะได้รู้ว่าผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด และระดับความเสี่ยงของกองทุนแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองㅤㅤ1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น มีความเสี่ยงต่ำเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องสูงㅤㅤ 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนมั่นคง ㅤㅤ3. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) ลงทุนในหุ้น มีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกันเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้และมีเวลารอในช่วงตลาดผันผวนㅤㅤ 4. กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) ลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นและผลตอบแทนสม่ำเสมอ ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงขึ้นมา แต่ก็ยังต้องการสภาพคล่องสูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ลงทุนในหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50%ㅤㅤ 5. กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund - FIF) กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงคาดหวังการเติบโตและกำไรจากบริษัทระดับโลก เช่น กองทุนรวมจีน, สหรัฐอเมริกา, เวียดนาม, ญี่ปุ่น เป็นต้นㅤㅤ 6. กองทุนรวมเพื่อการออมและลดหย่อนภาษี (SSF, RMF)เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการในระยะยาวหรือลงทุนสำหรับแผนเกษียณ เพราะนอกจากจะสามารถคาดหวังอัตราผลตอบแทนได้แล้ว ก็ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีแถมมาด้วย เรียกได้ว่า เป็นการลงทุนที่กำไร 2 ต่อ ข้อดีและข้อเสียของกองทุนรวม ข้อดี1. บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเอง มีมืออาชีพที่เก่งเรื่องนี้ดูแลให้2. กระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ได้หลายประเภท หลายประเทศทั่วโลก ทำให้ลดความเสี่ยงได้3. เริ่มต้นลงทุนได้ง่าย ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง บางกองเริ่มต้นที่ 1 บาท4. สภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ง่ายเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่น5. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ข้อเสีย1. ค่าธรรมเนียมการจัดการ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน2. ไม่สามารถควบคุมการลงทุนได้เอง ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจแทนเรา3. มีเงื่อนไขในการขาย สำหรับกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็จะมีเงื่อนไขการถือครอง ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้หลายคนที่ขาดสภาพคล่อง แต่ไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้ได้ ไม่อย่างนั้น ต้องคืนภาษีแถมเจอเบี้ยปรับ

  Lumpsum .


  16 เมษายน 2568

Loading...

ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม