โค้งสุดท้ายของปีแบบนี้ คำถามเรื่องลดหย่อนภาษีเข้ามารัว ๆๆ โดยเฉพาะบรรดามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ที่พอกดเครื่องคิดเลขดูแล้ว ทั้งดอกเบี้ยบ้าน ลดหย่อนพ่อแม่ลูก ประกันสะสมทรัพย์ ฯลฯ ขุดทุกอย่างมาหักค่าลดหย่อนแล้วก็ยังต้องจ่ายภาษีอีกบานเบอะ
ไม่ใช่ไม่อยากจ่ายภาษีนะ แต่ถ้ามีทางเลือกให้จ่ายน้อยลงได้ ทำไมถึงไม่ทำล่ะจริงมั้ย
ถ้าใครมีปัญหาเดียวกันนี้ อยากให้ลองศึกษากองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง SSF ที่อาจจะตอบโจทย์คุณได้ ที่สำคัญนอกจากจะได้เงินภาษีคืนแล้ว ก็ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอีกด้วย
แต่ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยง ดังนั้นก่อนจะเอาเงินของเราไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ใด ควรศึกษาข้อมูลของสิ่งนั้นให้ละเอียด เพื่อจะได้ไม่เสียใจในภายหลังค่ะ
ถ้าใครพร้อมเรียนรู้เรื่องกองทุน SSF แล้วคลิกต่อที่ภาพได้เลย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน คลิก: https://bit.ly/abrdn-FIF-Lumpsum

ก่อนอื่นเรามาทบทวน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขของกองทุน SSF พร้อมกับตรวจสอบตัวเองก่อนว่าเหมาะกับกองทุนประเภทนี้หรือไม่
SSF ย่อมาจาก Super Savings Fund คือกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ซึ่งมีสิทธิพิเศษมากกว่ากองทุนรวมทั่วไปตรงที่รัฐบาลอนุญาตให้สามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปจนถึงปี 2567 โดยมีเงื่อนไขตามภาพเลย
ส่วนใครบ้างที่ควรซื้อ SSF เก๋เก๋รวมมาให้ประมาณ 4 ข้อ ดังนี้
1.เป็นคนมีเงินได้หักลบกับค่าลดหย่อนแล้วมากกว่า 150,000 บาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต้องจ่ายภาษี แต่อยากใช้สิทธิลดหย่อนหรือขอภาษีคืน
2.ต้องการให้เงินลงทุนเติบโตในระยะยาวแบบไม่เสียโอกาส เพราะที่จริงการลดหย่อนภาษีทำได้หลายอย่าง อาจจะซื้อประกันก็ได้ หรือเงินบริจาคก็ยังขอคืนภาษีได้ แต่จะไม่มีผลตอบแทน คือได้เงินคืนภาษีต่อเดียว แต่หากเราเอาเงินไปลงทุน ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอีกต่อหนึ่งด้วยนั่นเอง
ในการทางกลับกัน การลงทุนก็มีโอกาสขาดทุนได้ ดังนั้นการเลือกกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. ที่เราจะเอาเงินไปให้เขาลงทุนจึงนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก
3.เป็นคนที่ฐานภาษีสูง ๆ เช่น 20% ขึ้นไป เพราะการลดหย่อนจะมีนัยมากกว่าคนที่ฐานภาษี 5%
4.ต้องการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพราะ SSF มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ที่จริงยังมีกองทุน RMF ที่ก็สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ แต่จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เนื่องจากต้องใช้เวลาลงทุนนานกว่าจะขายได้ (อายุ 55 ปี) ซึ่งหากคุณอายุน้อยกว่า 45 ปี การซื้อ SSF จะมีความยืดหยุ่น สามารถขายได้เร็วกว่า เพราะใช้เวลาถือเพียง 10 ปี และ RMF มีเงื่อนไขมากกว่า เช่นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี เป็นต้น
แล้วใครบ้างที่ไม่ควร ซื้อ SSF
1.กำลังขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินเย็นมาลงทุน ข้อนี้สำคัญมาก ๆ เพราะเมื่อซื้อ SSF แล้วเราต้องเข้าใจว่าเป็นการลงทุนระยะยาว 10 ปี ถ้าสภาพคล่องไม่ดีพอ เอาเงินไปลงทุนแล้วต้องกู้มาใช้จ่าย ก็ยอมจ่ายภาษีไปเถอะ คุ้มกว่าไปเสียดอกเบี้ย
2.ฐานภาษีไม่สูง และรับความเสี่ยงไม่ได้ เห็นราคาหน่วยลงแล้วนอนไม่หลับ อันนี้ไม่คุ้มอย่างยิ่ง เสียสุขภาพจิต ไปใช้สิทธิลดหย่อนด้านอื่น ๆ จะดีกว่า
3.ถ้าคุณเป็นเซียนหุ้น ที่สามารถวางแผนลงทุนเองแล้วได้ผลตอบแทนสูงมาก ๆ ก็ยอมเสียภาษีไป แล้วเอาเงินจำนวนนี้ไปหาผลตอบแทนเองน่าจะคุ้มกว่า แต่จะกระซิบว่าเซียนหุ้นส่วนใหญ่ก็ใช้สิทธิลดหย่อนเต็มที่นะ
แล้วควรซื้อ SSF กองไหนดี เป็นคำถามคลาสสิคที่ไม่มีใครตอบได้ นอกจากตัวคุณเอง
หากไปดูข้อมูลในปัจจุบันมีกองทุน SSF ประมาณ 150 กอง หลักการในการเลือกก็คือ ดูว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก่อนซื้อหน่วยลงทุน ทุก บลจ. จะมีแบบประเมินให้เราทำอยู่แล้ว หากสามารถรับความเสี่ยงได้มาก โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงก็มากตามไปด้วย ที่เรียกกันว่า High risk high return นั่นเอง
บทความนี้ขออนุญาตเอาใจขาซิ่ง ที่จิตใจแข็งแรงรับความเสี่ยงได้มาก เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้น ด้วยการแนะนำทางเลือกกองทุน SSF ที่ลงทุนในตราสารทุน หรือ หุ้น
หลายคนอาจบอกว่าตลาดหุ้นไทย โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูง ๆ ดูแล้วเป็นไปได้ยาก จากเศรษฐกิจในประเทศที่ยังผันผวนสูง และตลาดค่อนข้างอิ่มตัวจึงอาจเติบโตได้ไม่มากในแต่ละปี
ข่าวดีก็คือ SSF สามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง มองหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ จากทั่วโลก
แต่อย่างที่บอกว่าเราต้องเลือกกองทุนให้เหมาะสม และที่สำคัญคือเลือก บลจ. ที่เรามั่นใจให้ดูแลเงินลงทุนให้ หากใครยังไม่มีชื่อในใจ วันนี้คัดมาฝาก 1 บลจ. ดูที่รูปถัดไปเลยจ้า

หากคิดถึงการลงทุนในต่างประเทศ สำหรับแล้ว ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และค่าธรรมเนียมกองทุนเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา เพราะมันเป็นตัวที่จะกินผลตอบแทนเราไปโดยที่ไม่รู้ตัว
บลจ. ที่คัดมาฝากในวันนี้คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทจัดการชั้นนำของโลก โดย กลุ่ม abrdn มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกมากว่า 38 ปี และมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 30 แห่งทั่วโลก รวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนหลักไม่คิดซ้ำซ้อน เพราะกองทุนหลักอยู่ภายใต้การบริหารของ abrdn และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โค้งสุดท้ายแบบนี้ ใครที่กำลังมองหากองทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และเพิ่มโอกาสให้เงินเติบโตด้วย เพราะมีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
โดย บลจ. อเบอร์ดีน มี 5 กองทุน FIF ที่มี Share class – SSF นโยบายลงทุนหุ้นต่างประเทศ ทั้งหุ้นเล็กที่กระจายลงทุนทั่วโลก , หุ้นเล็ก สหรัฐอเมริกา ,จีน , เอเชีย แปซิฟิก ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก
5 กองทุนที่ว่ามีอะไรบ้าง และนโยบายการลงทุนแต่ละกองเป็นยังไง ดูตามทีละภาพได้เลยค่ะ

กองทุุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิก เอคควิตี้ (ABAPAC-SSF)
นโยบายและความเสี่ยง
- มุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัด
- ตัวชี้วัด MSCI AC Asia Pacific ex Japan TR
- ลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Standard Pacific Equity Fund
- กองทุนหลักกระจายในกลุ่มหลักทรัพย์ Asia-Pacific Equities ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น
- ความเสี่ยงระดับ 6
จุดเด่นของ ABAPAC-SSF
คือธีมการลงทุนของกองทุนหลักที่ abrdn มองว่าเป็นโอกาส เช่น
Building Asia - เอเชียมีการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ผลิตวัสดุ เช่น ซีเมนต์
Digital Future - การเติบโตของดิจิทัลแบบบูรณาการ ทำให้ภาคธุรกิจนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนอนาคตที่สดใส เช่น ธุรกิจเกมออนไลน์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ธุรกิจฟินเทค และ ธุรกิจการด้านเทคโนโลยี อย่างผู้ให้บริการคลาวด์ เป็นต้น
Tech Enablers - เอเชียมีห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีที่ดี สำหรับการเติบโตเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเปิดตัว 5G, บิ๊กดาต้า และการเชื่อมต่อทางดิจิทัล
ตัวอย่างหุ้นที่ถือ เช่น TSMC , Tencent Holding , Samsung Electronics , AIA Group , Alibaba Group Holding เป็นต้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: https://bit.ly/3o0LtXj

กองทุุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล สมอลแค็พ ฟันด์ (ABGS-SSF)
นโยบายและความเสี่ยง
- มุ่งหวังผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด
- ตัวชี้วัด MSCI AC World Small Cap TR
- ลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Standard SICAV III - Global Smaller Companies Fund
- กองทุนหลักกระจายในหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการทั่วโลก
- ไม่จ่ายปันผลแต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
- ความเสี่ยงระดับ 6
จุดเด่นของ ABGS-SSF
หุ้นขนาดเล็กทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่อย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2020 และในปี 2021 แต่หุ้นขนาดเล็กกลับเทรดในระดับ valuation ที่ยังต่ำอยู่มาก จึงทำให้หุ้นขนาดเล็กยังน่าสนใจ
แต่เวลาพูดถึงการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก หรือ Small caps มักมีคำถามว่ามีความเสี่ยงสูงรึเปล่า? การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ งบการเงินจะยากมั้ย?
ข้อนี้หมดกังวลได้เลย เพราะ abrdn ใช้นวัตกรรม Quants (The Matrix Model) ในการคัดสรรหุ้นคุณภาพ โอกาสเติบโตสูง พร้อมกับการศึกษาเชิงลึกด้านคุณภาพ การเติบโต โมเมนตัม และการประเมินมูลค่า
abrdn มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 120 คน ครอบคลุม 11 ประเทศ จาก 13 สำนักงานทั่วโลก ทีมลงทุนมีการติดตามหุ้นกว่า 4,000 รายการ จากกว่า 6,000 บริษัท
ที่สำคัญการเป็น Active management ทำให้สามารถสร้างเฟ้นหาหุ้นคุณภาพ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระดับความเสี่ยงที่ต่ำลง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: https://bit.ly/3nUVkhf

กองทุุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า เกทเวย์ ฟันด์ (ABCG-SSF)
นโยบายและความเสี่ยง
- มุ่งหวังผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด
- ตัวชี้วัด MSCI China All Shares TR
- ลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Standard SICAV I – All China Equity Fund
- กองทุนหลักกระจายการลงทุนในหุ้นจีน
- ไม่จ่ายปันผลแต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
- ความเสี่ยงระดับ 6
จุดเด่นของ ABCG-SSF
ตอนนี้ประเทศจีนกำลังดำเนินนโยบาย นำความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) ซึ่งหากสามารถทำได้ตามแผน คาดว่าจะช่วยปรับสมดุลของเศรษฐกิจเพื่อการบริโภคและการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยจีนมีความพยายามอย่างมากในการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างเพื่อการเติบโต เช่นการผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
ซึ่งธีมที่ abrdn เลือกลงทุนก็สอดคล้อง และมีโอกาสจะได้ผลประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว เช่น
Aspiration - ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วในการบริโภคสินค้าและบริการในระดับพรีเมียม
Going Green - จีนเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งในแง่การขับเคลื่อนใช้พลังงานหมุนเวียน การผลิตแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนลดต่ำลงจนเท่ากับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของระบบสายส่ง จะเป็นจุดพลิกเกมที่สำคัญ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: https://bit.ly/3HRQeKz

กองทุุนเปิด อเบอร์ดีน อเมริกัน โกรท - สมอลเลอร์ คอมพานี ฟันด์ (ABAGS-SSF)
นโยบายและความเสี่ยง
- มุ่งหวังผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด
- ตัวชี้วัด Russell 2000 TR
- ลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Standard SICAV I - North American Smaller Companies Fund
- กองทุนหลักกระจายการลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของพอร์ตในหุ้นสหรัฐอเมริกาที่มีมาร์เก็ตแคปน้อยกว่า 5 พันล้านเหรียญ
- ไม่จ่ายปันผลแต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
- ความเสี่ยงระดับ 6
จุดเด่นของ ABAGS-SSF
เสน่ห์ของหุ้นขนาดเล็กในตลาดสหรัฐอเมริกา คือทำผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นใหญ่ในช่วงตลาดหมี ขณะที่มูลค่าหุ้นขนาดเล็กอยู่ในระดับต่ำ เทียบกับแนวโน้มกำไรที่มีโอกาสเติบโตสูง และหุ้นที่ abrdn เลือกลงทุนเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง จึงสามารถเชื่อมั่นได้ว่าจะเติบโตสูงในอนาคต
ขณะที่จุดเด่นหุ้นเล็กของอเมริกา ส่วนมากเป็นหุ้นเศรษฐกิจใหม่ จึงมี potential การเติบโตในอนาคต
และมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐมารองรับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: https://bit.ly/3laDg0K

กองทุุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดิวิเด็น ฟันด์ (ABGDD-SSF)
นโยบายและความเสี่ยง
- มุ่งหวังผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด
- ตัวชี้วัด MSCI AC World (Net) Index
- ลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Standard SICAV I – Global Dynamic Dividend Fund
- กองทุนหลักกระจายลงทุนในหุ้นทั่วโลก ทั้งหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโต เพื่อรับเงินปันผล และ Capital gain
- ไม่จ่ายปันผลแต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
- ความเสี่ยงระดับ 6
จุดเด่นของ ABGDD-SSF
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศโดยมีกลยุทธ์แบบเชิงรุก ที่มาพร้อมโอกาสการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โอกาสรับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมการเติบโตของเงินลงทุน
กองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่เหมือนใคร โดยแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. Core Portfolio ที่ 95% เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าทั่วโลก
2. Dividend Capture Sleeve ที่ 5% เฟ้นหาหุ้นที่มีเหตุการณ์พิเศษ เพื่อหาโอกาสในการได้รับทั้งเงินปันผลที่จ่ายให้เป็นกรณีพิเศษและ เงินปันผลปกติ
กองทุนหลักของ ABGDD ตั้งเป้าหมายที่จ่ายกระแสเงินสดรับอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน โดยที่ผ่านมากองทุนหลักมีอัตราการจ่ายปันผล (Dividend) เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี (อัตราการจ่ายเงินปันผลไม่การันตี) ข้อมูล ณ กันยายน 2564
ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร เมื่อเทียบกับกองทุนอื่นที่อยู่ในตลาด เพราะได้ทั้งหุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายปันผลพิเศษ บอกเลยว่าตอบโจทย์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: https://bit.ly/3cVxZp3
