ไม่มีรายการ

แผนการเงินแบบปลอดภัย ไม่ได้แปลว่าไม่เสี่ยง

แผนการเงินแบบปลอดภัย ไม่ได้แปลว่าไม่เสี่ยง

14 ธันวาคม 2566


เมื่อความแน่นอนที่สุด คือ ความไม่แน่นอน ….

ในยุคที่อะไรๆก็ดูเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หลายอย่างที่เคยปลอดภัยแน่นอนก็ดูจะไม่แน่นอนขึ้นมา อย่าง งาน เงิน ที่แต่ก่อนเรารู้สึกว่ามั่นคงก็อาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไป…

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา เราทั้งโลกต่างต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง เห็นความเสี่ยงของชีวิตในมิติที่ชัดขึ้น ตั้งแต่ความเสี่ยงสุขภาพที่มากขึ้น ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ผันผวน ความเสี่ยงทางการเงินที่แม้แต่เงินเก็บจากการทำงานอย่างหนักฝากธนาคารเอาไว้ที่เคยปลอดภัย แต่วันนี้เหมือนว่าความเสี่ยงใกล้เข้ามาเคาะประตูหน้าบ้านของคุณมากขึ้นทุกที ความฝันที่อยากมั่งคั่งก็ยิ่งดูเลือนลาง

ช่วงปี 2021 - 2023 ตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อประเทศไทย ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 24 ปี ซึ่งในปี 2022 เงินเฟ้อเฉลี่ยพุ่งสูงถึง 6.08% แม้ว่าจะมีปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นก็ตาม แต่หากมองภาพรวมจะเห็นว่าค่าครองชีพได้ปรับตัวขึ้นจริง

ซึ่งสะท้อนว่า เราต้องเจอกับความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้นทุกวัน ความมั่งคั่งที่เคยมีก็ลดลงไปเช่นกัน แหล่งเงินออมที่ดูปลอดภัยอาจไม่สามารถรักษาระดับความมั่งคั่งเราไว้เท่าเดิมได้ แม้ในระยะสั้นอาจจะไม่เห็นชัดขนาดนั้น แต่ระยะยาวมีโอกาสที่จะลดความมั่งคั่งคุณลงไปแบบที่หลายคนอาจจะคิดไม่ถึงเลยทีเดียว เพื่อให้เห็นภาพมาก ลองไปดูตัวอย่างเล็กๆกันครับ


สมมติ เงินเก็บของคุณวันนี้มี 10 ล้านบาท ที่เงินเฟ้อทั่วไป 3%


เมื่อผ่านไป 10 ปี คุณอาจจะมีจำนวนเงินเท่าเดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ อำนาจในการจ่ายของคุณจาก 10 ล้านบาท จะลดลงเหลือเพียง 7,374,241 บาท

ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเงินเฟ้อเล็กๆ แค่ 3% ทำให้เงินของเราหายไปได้เกือบ 3 ล้าน

ก่อนอื่นทำต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับ
ว่าสาเหตุของเงินเฟ้อมาจากมูลค่าของสินค้าและบริการต่างๆมีมูลค่าสูงขึ้น

ซึ่งก็สามารถเกิดได้ตั้งแต่ เศรษฐกิจดีขึ้น คนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ความต้องการสินค้าสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น หรืออีกในกรณีคือ ต้นทุนการผลิตสูง ราคาวัตถุดิบ จนถึงต้นทุนการขนส่ง และแน่นอนว่าก็ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้เช่นกัน

จำนวนเงินเท่าเดิม ในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปจึงไม่สามารถซื้อของได้เท่าเดิม
นั่นยิ่งตอกย้ำว่าแม้คุณจะไม่กล้าเสี่ยง แต่ความเสี่ยงอาจจะอยู่ใกล้ๆ จากสัดส่วน เล็กๆเพียง 3% แต่เมื่อบวกกับเวลาที่มากพอนั่นอาจมีพลังมหาศาลที่ค่อยๆ ขโมยความมั่งคั่งคุณหายไปแบบไม่รู้ตัว

และนี่ยังไม่รวมความไม่แน่นอนต่างๆที่หลายคนต้องเผชิญ อย่างค่าใช้จ่ายจำเป็นแต่ไม่ประจำ และค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน อย่างค่าประกันต่างๆ ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี ค่าซ่อมแซมบ้าน รถยนต์ ที่พร้อมจะดึงเงินในกระเป๋าคุณออกไปเมื่อไหร่ก็ได้

เมื่อเห็นแบบนี้ สิ่งที่หลายคนอาจจะเกิดคำถามต่อว่า แล้วเราจะลดความเสี่ยงเพื่อรักษาความมั่งคั่งนี้ไว้ได้ยังไง

คำตอบ คือ
ผลตอบแทน - เงินเฟ้อ

แน่นอนว่าเงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินลดลง สิ่งที่จะช่วยให้เกมนี้เรากลับมาชนะได้ ก็คือการใส่พลังของผลตอบแทนนั่นเอง ซึ่งก็จะช่วยให้อำนาจของเงินที่คุณมีกลับมาอยู่ในระบบเท่าเดิม หรือดีกว่านั้นก็สามารถช่วยให้คุณได้เพิ่มระดับความมั่งคั่งสูงขึ้นได้อีกด้วย

แต่ก็ต้องบอกว่า ในโลกของการลงทุนมันก็ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น
เพราะเมื่อคุณกระโดดเข้ามาคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าระดับเงินเฟ้อ ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย

อย่าลืม !!! ว่าโลกไม่ได้ให้อะไรเราแบบฟรีๆ การลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนที่สูง ก็แลกมากับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

หลายๆคนอาจจะเข้าใจเรื่องพลังของดอกเบี้ยทบต้น (compound interest) เป็นอย่างดีหรือบางคนก็อาจจะกลัวเงินเฟ้อมากเกินไป จนกระโดดมาในโลกการลงทุนด้วยความเข้าใจแบบผิดๆ ว่าการลงทุนจะให้แต่ผลตอบแทนดีๆแก่คุณเท่านั้น

เพื่อให้เห็นภาพในเรื่องชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง เราจะพาคุณไปดูในขาผลตอบแทนกันบ้าง…


สมมติ คุณมีเงินเท่าเดิมกับตัวอย่างก่อนหน้า คือ 10 ล้านบาท คุณลงทุนที่ผลตอบแทน 5%

ในระยะเวลา 10 ปี เงิน10ล้านบาท จะเพิ่มความมั่งคั่ง สูงถึง 16,288,946 บาท ซึ่งแน่นอนว่ามันสามารถทำให้คุณชนะเงินเฟ้อได้และยังช่วยเพิ่มระดับความมั่งคั่งให้คุณได้อีกด้วย

เห็นแบบนี้แล้ว หลายๆคนที่อยากชนะเงินเฟ้อและอยากเพิ่มความมั่งคั่ง เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตการเงินที่ดีขึ้น รวยขึ้น หรืออยากที่จะมีอิสระภาพทางการเงิน ล้วนต่อแถวกันเข้ามาในโลกของการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

แต่อย่างที่ได้กล่าวในตอนต้น โลกใบนี้ไม่ได้ให้อะไรคุณมาแบบฟรีๆ ในโลกการลงทุนก็เช่นกัน
ถ้าคุณมีเพื่อนที่ลงทุน หรืออยู่ในสังคม ในกลุ่มของการลงทุน คุณลองสังเกตดูครับ ว่าจะมีคนที่เข้ามาอย่างฮึกเฮิม และออกไปอย่างเหี่ยวเฉา จะมีคนที่กล้าได้กล้าเสี่ยง แต่ออกไปแบบทั้งๆที่ยังไม่สำเร็จ

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกัน ?
… เพราะ การลงทุน มันแลกมาด้วยความเสี่ยงยังไงละ …

หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าเลือกสินทรัพย์ดี ผลตอบแทนสูง ก็น่าจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ แต่อย่าลืมว่า แต่ละสินทรัพย์มีวัฏจักรของตัวเอง มีจังหวะที่ขึ้น มีจังหวะที่ลง มีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในสังคม การเมือง ประกอบด้วย

แม้คุณจะเลือกสินทรัพย์ดี แต่คุณก็อาจจะต้องเจอกับช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี สังคมวุ่นวายขาดความเชื่อมั่น ซึ่งในระยะสั้น อาจทำให้หลายคนหนีออกไปจากตลาดก่อน เพราะผลขาดทุนในระยะสั้นรวมถึงผิดจากความคาดหวังว่าการลงทุนมีเฉพาะผลตอบแทนดีๆแค่ด้านเดียว

เมื่ออะไรหลายๆอย่างก็ดูเสี่ยงและไม่แน่นอน เราจะจัดการกับสถาวะแบบนี้รวมถึงความรู้สึกของเรายังไงดี ?

ผมอยากชวนให้คุณทำความเข้าใจก่อนครับ ว่าการวางแผนการเงินเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ไม่ได้มีเรื่องของผลตอบแทนอย่างเดียว แต่ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆอีก คือ

- เป้าหมาย
- จำนวนเงิน
- เวลา
- ความเสี่ยง

แม้ว่าเราอาจจะต้องพบเจอกับเงินเฟ้ออย่างหลีกไม่ได้ แต่หากเงินจำนวนนั้น มีเพื่อเป้าหมายระยะสั้นและเป็นเป้าหมายสำคัญมากๆ การเก็บเงินก้อนนั้นไว้ในที่ปลอดภัยก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ ถึงจะไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ แต่เราสามารถมั่นใจได้ว่า เรามีเงินพอใช้ตามเป้าหมายแน่นอน และที่สำคัญระยะสั้นเงินเฟ้ออาจไม่ได้กระทบสูงมากขนาดที่หลายคนกังวลมากเกินไป
แต่ถ้าความเสี่ยงที่ต้องแลกมาจากการลงทุน อาจไม่คุ้มเสีย เพราะการลงทุน ไม่ได้มีแค่ จำนวนเงิน และผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของเวลาที่เป็นส่วนสำคัญเข้ามาประกอบอีกด้วย

ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเอาเงินไปไว้ตรงไหนกันดี
ผมอยากแนะนำให้คุณแบ่งเงินเป็น 4 ส่วนหลักๆ ตามนี้ครับ

 

1.วางแผนเก็บเงินสำรองก่อน

ถ้ามีเรื่องจำเป็นจะต้องใช้เงิน ก็ดึงก้อนนี้ออกมาใช้ได้เลยทันที
เงินก้อนนี้เราจะเอาไว้ในฝั่ง”เงินฝาก” เน้นปลอดภัย มีสภาพคล่อง ยังไม่ต้องพูดเรื่องผลตอบแทนให้ปวดหัว เพราะเวลาต้องใช้เงินจริงๆ เชื่อเถอะ เราไม่สนใจเงินเฟ้อหรือผลตอบแทนหรอก เราแค่อยากได้เงินมาจัดการค่าใช้ตรงนี้แค่นั้นแหละ


2. วางแผนสำหรับเป้าหมายสำคัญแต่มีเวลาน้อย(เป้าหมายระยะสั้น 1-3 ปี)

แผนนี้เพื่อทำตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งก็พอมีเวลาเก็บเงินขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่มาก( 1-3ปี) เป้าหมายสำคัญแต่มีเวลาน้อยเลื่อนออกไปไม่ได้ เป้าหมายแบบนี้เราคงไม่อยากเลื่อนหรือไปวัดใจแน่ๆ เงินก้อนนี้เราจะเอาไว้ในฝั่ง”เงินฝาก” เป็นหลัก แต่สามารถแบ่งไปฝั่ง “ลงทุน” ได้บ้าง แต่ควรเป็นสัดส่วนเล็กๆและเน้นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ผันผวนหวือหวา


3.แผนระยะกลาง...พอมีเวลาให้เก็บเงินขึ้นอีกหน่อย (3-5 ปี)

แผนนี้เริ่มหายใจหายคอง่ายหน่อย เริ่มมีเวลามากขึ้น สร้างทางเลือกได้มากขึ้น สามารถปรับสัดส่วนลงทุนได้เพิ่มขึ้น และเริ่มเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาได้อีกหน่อย อย่างหุ้นกู้ที่ระยะยาวขึ้น เลือกลงกองทุนดัชนี หรือสะสมหุ้นพื้นฐานดีในเวลาที่ต้นทุนดีก็ยังไหว



4.แผนระยะยาว...มีระยะเวลาเก็บเงินกันยาวๆ (5-7 ปี ขึ้นไป)


สำหรับแผนนี้มีเวลาเยอะ อย่างแผนเกษียณ มีเวลาให้สินทรัพย์ที่ลงทุนสามารถผันผวนได้ และแม้จะผิดทางอยู่บ้าง แต่เราจะมีเวลามากพอสำหรับการเตรียมแผนสำรอง ซึ่งแผนนี้แหละ สำหรับคนที่ “กังวลเรื่องเงินเฟ้อ กังวลว่าถือเงินสำรองแล้วก้อนนั้นจะไม่ได้กำไร กังวลเรื่องความเสี่ยงจากการลงทุน” นี่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยดึงผลตอบแทนรวมทั้งหมดสูงขึ้น

ผมว่าเงินทั้งหมด อาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างผลตอบแทนสูงสุด แต่เราคาดหวังแค่ให้เงินจำนวนนี้ไม่ลดมูลค่าลงเร็วเกินไปโดยที่เราไม่ลงมือทำอะไรเลยและหวังว่าการบริหารผลตอบแทนนี้จะพอที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่ง ทำให้เราออกแรงน้อยลงบ้าง และพร้อมรับมือกับยุคที่มีแต่ความไม่แน่อนให้ได้ แค่นั้นเอง…

ธนสิทธิ์ ปังสมบูรณ์สุข
ที่ปรึกษาการเงิน AFPT และ นักวางแผนการลงทุน

แผนการเงินแบบปลอดภัย ไม่ได้แปลว่าไม่เสี่ยง

ปรึกษาวางแผนการเงินส่วนบุคคลแบบครบวงจรได้ที่ Lumpsum สนใจรับคำแนะนำ สมัครวันนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย คลิกที่นี่

บทความแนะนำล่าสุด


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ